ซิงค์ สิว การใช้ซิงค์ในการบำรุงผิวและลดสิว

ซิงค์ สิว การใช้ซิงค์ในการบำรุงผิวและลดสิว

มิถุนายน 04, 2568

ซิงค์ สิว การใช้ซิงค์ในการบำรุงผิวและลดสิวในยุคที่ผู้คนใส่ใจเรื่องสุขภาพและความงามมากขึ้น การรักษาผิวพรรณให้กระจ่างใสและปราศจากปัญหาสิวกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญของหลายๆ คน สิวเป็นปัญหาผิวที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัย โดยเฉพาะในวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ที่มีปัญหาฮอร์โมนไม่สมดุล การรักษาสิวสามารถทำได้หลายวิธี หนึ่งในวิธีที่ได้รับการยอมรับและถูกพูดถึงอย่างมากในช่วงนี้คือการใช้ ซิงค์ หรือ แร่ธาตุสังกะสี ซึ่งมีประโยชน์มากมายในการช่วยลดสิวและบำรุงผิว ซิงค์ สิวมีคุณสมบัติในการช่วยลดการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว เมื่อผิวหนังมีการอักเสบ สิวก็จะเกิดขึ้นได้ง่าย โดยเฉพาะสิวประเภทอักเสบและสิวหนอง ซิงค์ สิวสามารถช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งจะช่วยลดการผลิตน้ำมันที่เกินความจำเป็นในต่อมไขมัน ส่งผลให้ปัญหาสิวที่เกิดจากน้ำมันสะสมในรูขุมขนลดลง หลายการศึกษาพบว่า การใช้ซิงค์ในการรักษาสิวสามารถช่วยลดขนาดของสิวและลดการเกิดสิวใหม่ได้ ซิงค์ยังช่วยในการลดการอักเสบของผิวหนัง โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาสิวอักเสบและสิวหนอง ซึ่งมักมีอาการบวมแดงและเจ็บ ปัญหาเหล่านี้สามารถบรรเทาลงได้จากการเสริมซิงค์  ประโยชน์ของซิงค์ สิวในการบำรุงผิวช่วยลดการอักเสบและสิว: ซิงค์มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ซึ่งช่วยลดการบวมแดงของสิว และช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น ปรับสมดุลของฮอร์โมน: การใช้ซิงค์ สิวสามารถช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันของผิว ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดสิว การรักษาบาดแผล: ซิงค์มีบทบาทสำคัญในการสมานแผลและฟื้นฟูผิวจากรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว ช่วยให้ผิวกลับมาเรียบเนียน เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: ซิงค์ สิวยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งจะช่วยป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดจากการที่ผิวหนังมีสิว ซิงค์ สิวในการเสริมสร้างสุขภาพผิวซิงค์ไม่เพียงแค่ช่วยรักษาสิว แต่ยังเป็นแร่ธาตุที่มีประโยชน์ในการเสริมสร้างสุขภาพผิวโดยรวม ซิงค์ช่วยฟื้นฟูผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระที่เกิดจากมลพิษและแสงแดด ช่วยลดการเกิดริ้วรอยและป้องกันการเสื่อมสภาพของผิวหนัง ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และกระจ่างใส เลือกผลิตภัณฑ์ซิงค์ที่มีคุณภาพหากคุณกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ซิงค์ที่มีคุณภาพสูง ขอนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีซิงค์ ที่มีส่วนผสมของ ซิงค์อะมิโนแอซิด คีเลต 20%, แมกนีเซียม, สารสกัดจากเมล็ดองุ่น, วิตามินเอ และ ไพริดอกซีน ไฮโดรคอลไรด์ (วิตามินบี 6) ซึ่งจะช่วยซิงค์เรื่องสิวได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  Referencesซิงค์ สิวไม่ได้เป็นเพียงแค่คำที่น่าสนใจในเชิงการตลาดเท่านั้น - https://innovezproducts.com/2025/05/30/ซิงค์-สิวไม่ได้เป็นเพีย/เมื่อเริ่มใช้ซิงค์ สิวอย่างต่อเนื่อง - http://www.passportnm.com/2025/06/ต่างให้การยืนยันว่าเมื.htmlเมื่อคุณเริ่มให้ความสำคัญกับคำว่าซิงค์ สิวมากขึ้น - https://www.healingjax.com/2025/06/02/เมื่อคุณเริ่มให้ความสำ/

แอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) เพื่อสุขภาพที่ดีจากภายในสู่ภายนอก

แอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) เพื่อสุขภาพที่ดีจากภายในสู่ภายนอก

มิถุนายน 03, 2568

แอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) เพื่อสุขภาพที่ดีจากภายในสู่ภายนอกยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น การเลือกอาหารเสริมที่มีคุณภาพ กลายเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลตัวเองอย่างยั่งยืน หนึ่งในสารอาหารที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในวงการสุขภาพคือ “แอสต้าแซนธิน” หรือ Astaxanthin สารสกัดจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ช่วยดูแลทั้งผิวพรรณ สายตา ระบบหัวใจ และสุขภาพโดยรวมได้อย่างครอบคลุม แอสต้าแซนธิน คืออะไร?แอสต้าแซนธิน เป็นสารสีแดงที่จัดอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ซึ่งพบมากในธรรมชาติ โดยเฉพาะในสาหร่ายฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิส ซึ่งเป็นแหล่งที่มีความเข้มข้นสูงสุด แอสต้าแซนธินเป็นสารที่ให้สีชมพู-ส้มในปลาแซลมอน กุ้ง ปู และสัตว์ทะเลบางชนิด ไม่เพียงแต่ให้สีที่โดดเด่น แต่ยังมีคุณสมบัติด้านสุขภาพที่โดดเด่นจนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชาแห่งสารต้านอนุมูลอิสระ” ประโยชน์ของแอสต้าแซนธินต่อสุขภาพหนึ่งในจุดเด่นที่สุดของแอสต้าแซนธิน คือ ความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่าวิตามินซีถึง 6,000 เท่า และมากกว่าวิตามินอีถึง 550 เท่า นั่นหมายความว่า แอสต้าแซนธินสามารถช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ลดการอักเสบ และส่งเสริมสุขภาพโดยรวมได้อย่างล้ำลึก 1. บำรุงสายตาหลายคนที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือใช้สายตาหนักอาจประสบปัญหาตาล้า หรือจอประสาทตาเสื่อม แอสต้าแซนธินมีคุณสมบัติช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา ป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตา และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น โดยเฉพาะในที่มืด 2. ฟื้นฟูและบำรุงผิวพรรณแอสต้าแซนธินมีความสามารถในการลดริ้วรอย ความหมองคล้ำ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวจากภายใน ช่วยเสริมการสร้างคอลลาเจน ปกป้องผิวจากรังสี UV และมลภาวะ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวให้ดูอ่อนเยาว์ 3. ส่งเสริมสุขภาพหัวใจสารต้านอนุมูลอิสระในแอสต้าแซนธินช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) พร้อมทั้งช่วยลดความดันโลหิต และลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเหมาะกับผู้ที่มีภาวะเสี่ยงหรืออยู่ในวัยกลางคนถึงผู้สูงอายุ 4. ลดการอักเสบในร่างกายแอสต้าแซนธินสามารถช่วยลดการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น ข้ออักเสบ เบาหวาน และโรคอ้วน โดยการยับยั้งเอนไซม์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบและฟื้นฟูสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน 5. เพิ่มพลังงานและความอึดของร่างกายนักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำอาจสังเกตว่าแอสต้าแซนธินช่วยลดอาการล้าหลังออกกำลังกาย เพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อ และช่วยในการฟื้นฟูร่างกายหลังการออกแรงอย่างหนัก ทำไมควรเลือกแอสต้าแซนธินจากแหล่งที่เชื่อถือได้?แอสต้าแซนธินที่สกัดจากสาหร่ายแดงธรรมชาติ มีความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงกว่าการสังเคราะห์ในห้องแล็บ การเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่มีมาตรฐานและผ่านการรับรองเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและผลลัพธ์ ควรมีแอสต้าแซนธินจากสาหร่ายฮีมาโตคอกคัสแท้ 100% ที่ผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ปลอดภัย และได้รับการรับรองจากสถาบันระดับสากล พร้อมให้บริการคำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจเริ่มต้นดูแลสุขภาพด้วยผลิตภัณฑ์ที่เชื่อถือได้ วิธีรับประทานแอสต้าแซนธินอย่างเหมาะสมแนะนำให้รับประทานแอสต้าแซนธินวันละ 4–12 มิลลิกรัม ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล โดยควรรับประทานพร้อมอาหารที่มีไขมันเล็กน้อยเพื่อเพิ่มการดูดซึมที่ดีขึ้น ควรรับประทานเป็นประจำทุกวันต่อเนื่องจึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน  Referencesแอสตาแซนธินแบบยั่งยืนในยุคปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่าย - http://essentially-silver.com/2025/05/26/อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้แอสตาแซนธินเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ - https://www.rvsrelatiegeschenken.com/2025/05/27/อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้แอ/

น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส บำรุงผิวพรรณและสุขภาพจากธรรมชาติ

น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส บำรุงผิวพรรณและสุขภาพจากธรรมชาติ

มิถุนายน 02, 2568

น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส บำรุงผิวพรรณและสุขภาพจากธรรมชาติผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและการบำรุงสุขภาพ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส (Primrose Oil) ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพและความงาม เนื่องจากมีประโยชน์มากมายทั้งในด้านการบำรุงผิวพรรณและการดูแลสุขภาพภายใน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสสกัดจากดอกของพืชอีฟนิ่งพริมโรส ซึ่งเป็นพืชที่มีสารอาหารสำคัญอย่างกรดแกมมา-ไลโนเลนิก (GLA) ที่มีบทบาทในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับระบบต่างๆ ในร่างกาย น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส คืออะไร?น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสได้จากการสกัดน้ำมันจากเมล็ดของดอกอีฟนิ่งพริมโรส ซึ่งเป็นพืชที่พบได้ในทวีปอเมริกาเหนือ น้ำมันชนิดนี้อุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้ ซึ่งเรียกว่า กรดแกมมา-ไลโนเลนิก (GLA) กรดไขมัน GLA มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดการอักเสบและรักษาความสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย โดยน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสมีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดปัญหาผิวแห้งและช่วยรักษาผิวให้ชุ่มชื้น รวมถึงการช่วยลดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น ปัญหาผิวหนังและการทำงานของฮอร์โมน ประโยชน์ของน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสมีประโยชน์มากมายที่ช่วยเสริมสร้างทั้งสุขภาพภายในและภายนอกของร่างกาย โดยเฉพาะในเรื่องของการดูแลผิวพรรณและการรักษาปัญหาสุขภาพต่างๆ น้ำมันชนิดนี้สามารถช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น และมีสุขภาพดีจากภายใน บำรุงผิวและลดอาการผิวแห้ง: น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสมีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยลดการแห้งกร้านและทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เนื่องจากกรด GLA ในมันสามารถช่วยปกป้องผิวจากการสูญเสียความชุ่มชื้นและช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ลดอาการอักเสบและผิวแพ้ง่าย: กรด GLA ยังช่วยลดการอักเสบและอาการระคายเคืองบนผิวหนัง ช่วยรักษาผิวจากปัญหาผิวที่เกิดจากการอักเสบ เช่น สิว หรือผื่นแพ้ต่างๆ นอกจากนี้ยังช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนและลดความแห้งกร้านที่เกิดจากสภาพอากาศ บำรุงเส้นผม: การใช้น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสสามารถช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง ลดปัญหาผมร่วงและให้ผมดูเงางาม โดยการทานน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสเป็นประจำจะช่วยเสริมการเติบโตของเส้นผมและป้องกันการขาดหลุดร่วง บรรเทาปัญหาผิวหนังอักเสบ: น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสมีบทบาทในการรักษาผิวหนังที่มีอาการอักเสบ เช่น โรคสะเก็ดเงินหรือโรคผิวหนังอักเสบ โดยสามารถลดการอักเสบของผิวและช่วยให้ผิวฟื้นฟูได้เร็วขึ้น ช่วยควบคุมระดับฮอร์โมน: น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสช่วยในการปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีปัญหาฮอร์โมนไม่สมดุล เช่น อาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) หรือวัยหมดประจำเดือน การทานน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสสามารถช่วยลดอาการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนได้ รักษาปัญหาสุขภาพทางเดินหายใจ: น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสยังมีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงระบบทางเดินหายใจ โดยการลดการอักเสบในหลอดลม และช่วยลดอาการหายใจลำบากในผู้ที่มีปัญหาการหายใจ วิธีการใช้และบริโภคน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสสามารถทานเป็นอาหารเสริมในรูปแบบของแคปซูลหรือน้ำมันที่บริสุทธิ์ การทานน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสในรูปแบบแคปซูลจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารสำคัญจากน้ำมันได้ดีขึ้น และยังสะดวกในการบริโภคอีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถนำมาทาผิวเพื่อบำรุงผิวหนังได้ โดยการใช้น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสทาบริเวณผิวที่ต้องการบำรุง เช่น บริเวณใบหน้า ผิวกาย หรือบริเวณที่มีปัญหาผิวแห้ง และรอยแผลเป็นจากสิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการอักเสบของผิว น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสในเครื่องสำอางและการบำรุงผิวการทานเป็นอาหารเสริมแล้ว น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสยังมีคุณสมบัติที่สามารถนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้ดี ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของครีมบำรุงผิว เซรั่ม หรือมอยส์เจอไรเซอร์ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสสามารถช่วยบำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้นและลดการระคายเคืองจากสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสจะช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและดูอ่อนเยาว์ ผิวหน้าจะรู้สึกเรียบเนียนขึ้นและลดรอยแผลเป็นหรือรอยสิวที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสยังช่วยบำรุงผิวจากภายใน โดยการลดการอักเสบและปรับสภาพผิวให้กลับมามีสุขภาพดี น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่ายสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสถือเป็นทางเลือกที่ดีในการฟื้นฟูผิวจากสภาพแวดล้อมที่ทำให้ผิวแห้งและขาดความชุ่มชื้น การทานน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสจะช่วยเสริมสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวมีความนุ่มนวลและอ่อนโยน  

MCT Oil ช่วยเสริมสร้างพลังงานและสุขภาพ

MCT Oil ช่วยเสริมสร้างพลังงานและสุขภาพ

มิถุนายน 01, 2568

MCT Oil ช่วยเสริมสร้างพลังงานและสุขภาพในยุคที่การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและให้ประโยชน์ต่อร่างกายเป็นสิ่งที่หลายๆ คนให้ความสนใจ หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมในวงการสุขภาพในปัจจุบันคือ "MCT Oil" หรือ "น้ำมัน MCT" ซึ่งเป็นน้ำมันจากธรรมชาติที่มีคุณประโยชน์หลากหลายและได้รับการยอมรับในกลุ่มคนที่ใส่ใจสุขภาพและออกกำลังกาย MCT Oil คืออะไร ?MCT Oil หรือ น้ำมัน MCT เป็นน้ำมันที่พบได้ทั่วไปในอาหาร น้ำมัน MCT ได้รับการสกัดจากน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์ม โดยเฉพาะน้ำมันมะพร้าวที่เป็นแหล่งที่มี MCT ในปริมาณสูง น้ำมัน MCT นี้สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้รวดเร็วและนำไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยที่ซับซ้อนเหมือนน้ำมันชนิดอื่น ประโยชน์ของ MCT Oilน้ำมัน MCT เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ที่ต้องการเพิ่มพลังงานให้ร่างกายและช่วยในการลดน้ำหนัก เนื่องจากน้ำมันชนิดนี้มีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย รวมถึงการช่วยเสริมพลังงาน การเพิ่มสมรรถภาพในการออกกำลังกาย และช่วยในการควบคุมการเผาผลาญไขมัน ช่วยให้ร่างกายมีพลังงานที่รวดเร็ว เพราะกรดไขมันใน MCT จะถูกดูดซึมได้อย่างรวดเร็วและนำไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที ยังมีการศึกษาที่พบว่า MCT Oil ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกายและช่วยควบคุมระดับน้ำหนักให้เหมาะสม การทานน้ำมัน MCT จะช่วยให้ร่างกายดึงพลังงานจากไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกหนึ่งประโยชน์ที่น่าสนใจของ MCT Oil คือการช่วยบำรุงสมอง การใช้ MCT Oil สามารถช่วยเสริมสร้างพลังงานให้กับสมอง โดยเฉพาะในผู้ที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนักหรือทานอาหารคีโตเจนิค (Keto) ซึ่งมักจะพบว่าร่างกายต้องการพลังงานที่มาจากไขมันมากขึ้น น้ำมัน MCT จะช่วยให้สมองได้รับพลังงานที่จำเป็นโดยไม่ต้องพึ่งพาคาร์โบไฮเดรต ช่วยย่อยอาหาร เนื่องจากกรดไขมันใน MCT Oil ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารและเพิ่มการดูดซึมสารอาหารต่างๆ ทำให้ร่างกายสามารถใช้ประโยชน์จากอาหารได้อย่างเต็มที่ การใช้ MCT Oil ในชีวิตประจำวันMCT Oil สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในการปรุงอาหาร การทานในสมูทตี้ หรือการทานโดยตรง MCT Oil สามารถผสมกับกาแฟเพื่อเพิ่มพลังงานและเสริมสมรรถภาพในตอนเช้า การทานน้ำมัน MCT ร่วมกับเครื่องดื่มที่คุณชอบจะช่วยให้คุณได้รับพลังงานที่จำเป็นและพร้อมที่จะเริ่มต้นวันใหม่ สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก การใช้ MCT Oil ในการทานอาหารจะช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น เนื่องจากน้ำมัน MCT จะช่วยเพิ่มกระบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกายและลดความอยากอาหาร ทำให้คุณสามารถควบคุมปริมาณอาหารได้ดีขึ้น เลือก MCT Oil ที่มีคุณภาพหากคุณกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ MCT Oil ที่มีคุณภาพสูง เราขอแนะนำ Coconut Oil Plus MCT Oil ซึ่งเป็นน้ำมันที่ผสมผสานคุณสมบัติของน้ำมันมะพร้าวและ MCT Oil เข้าไว้ด้วยกัน ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสกัดจากน้ำมันมะพร้าวแท้และมีความบริสุทธิ์สูง โดยน้ำมันนี้มีกรดไขมัน MCT ที่ช่วยในการเสริมพลังงาน ลดน้ำหนัก และบำรุงสุขภาพของสมองอย่างมีประสิทธิภาพ ผลิตภัณฑ์ MCT Oil ที่มีคุณภาพสูง และต้องการเพิ่มพลังงานให้กับชีวิตประจำวันของคุณ  คือทางเลือกที่ดีในการดูแลสุขภาพและช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการลดน้ำหนักและเสริมสร้างพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณสมบัติเด่นของ Coconut Oil Plus MCT Oilได้รับการสกัดจากน้ำมันมะพร้าวแท้มีกรดไขมัน MCT ที่ช่วยเพิ่มพลังงานและกระบวนการเผาผลาญไขมันช่วยบำรุงสมองและเสริมสมรรถภาพในการทำงานของร่างกาย   Referencesผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่าง mct oil - https://www.downlyn.com/2025/06/09/ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่/การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการใช้ mct oil อย่างต่อเนื่อง - https://www.herbolariadepetras.com/2025/06/14/การเปลี่ยนแปลงที่เกิดข/สิ่งที่หลายคนเริ่มตระหนักเมื่อใช้ mct oil - https://www.atmosphereinstitut.com/admin/2025/06/18/11/สิ่งที่หลายคนเริ่มตระห/ 

แอสต้าแซนธิน สุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระบำรุงดวงตาและผิว

แอสต้าแซนธิน สุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระบำรุงดวงตาและผิว

มีนาคม 24, 2568

 Astaxanthin   อยากมีผิวสวยกระจ่างใส สุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอกกันใช่ไหม? "แอสต้าแซนธิน" ได้ชื่อว่า "ราชินีแห่งสารต้านอนุมูลอิสระ" ที่มีประโยชน์มากมาย แอสต้าแซนธินคืออะไร  แอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) สารอาหารที่อยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ สารสีแดงส้ม ที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างมากในการต้านอนุมูลอิสระ จนทำให้แอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) เป็นอาหารเสริมที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากมีผล ช่วยในการบำรุงผิว ปรับผิวขาว ช่วยลดการเกิดริ้วรอย ช่วยบำรุงสายตา ชะลอความเสื่อมของเซลล์จากมลภาวะต่าง ๆ   นอกจากแอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) จะมีบทบาทในการต้านอนุมูลอิสระที่แรง และดีเยี่ยมแล้ว มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้แรงกว่าวิตามิน ซีธรรมดา 6,000 เท่าCo Q10 800 เท่าวิตามิน อี 550 เท่าGreen tea catechins 550 เท่าAlpha lipoic acid (ALA) 75 เท่าเบต้า แคโรทีน 40 เท่าสารสกัดจากเมล็ดองุ่น 17 เท่า  แอสต้าแซนธินได้มาจากไหน    แอสต้าแซนธิน  (Astaxanthin) ร่างกายสร้างขึ้นเองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหาร พบมากในสัตว์ทะเลส่วนใหญ่ อย่าง ปลาแซลมอน ปลาเทราด์ เคย (Krill) กุ้ง กั้ง ปู แต่จากแหล่งธรรมชาติที่พบมากที่สุดคือ สาหร่ายขนาดเล็กสีแดง (Microalgae Haematococcus pluvialis)   สาหร่ายฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิส แอสต้าแซนธินเหมาะกับใคร    ร่างกายควรได้รับ Astaxanthin วันละ 4-12 มิลลิกรัม (pobpad.com)    แอสต้าแซนธิน มีโครงสร้างที่พิเศษเป็นเอกลักษณ์ ทั้งในส่วนที่ละลายในน้ำ และละลายในน้ำมัน ซึ่งแอสต้าแซนธินที่ละลายในน้ำมัน ร่างกายจะดูดซึมแอสต้าแซนธินได้ดีกว่า ซึ่แอสต้าแซนธินในน้ำมันมักจะบรรจุในแคปซูลนิ่ม (softgel)     ปกติควรได้รับอย่างน้อยวันละ 4 mg และยิ่งอายุเยอะยิ่งต้องทานปริมาณสูงขึ้น แต่ถ้าต้องการบำรุงส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่นถ้าเน้นบำรุงผิว ควรได้รับ 4-18 mg/วัน เมื่ออายุมากผิวเสื่อมมากขึ้น ต้องทานปริมาณสูงให้ออกฤิทธิ์เพียงพอถ้าเน้นบำรุงสายตา ควรได้รับ 4-9 mg/วัน ซึ่งอาจทานควบคู่กับลูทีนและซีแซนทีน ถ้าเผชิญกับมลภาวะสูง เช่น PM 2.5 ควรได้รับ 8-12 mg/วัน เช่นผู้ที่ต้องเผชิญแสงแดด มลภาวะ เล่นกีฬากลางแจ้ง หรือทำงานกลางแจ้งเช่น ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์   ประโยชน์ของแอสต้าแซนธิน    ซึ่ง สารต้านอนุมูลอิสระ มี คุณประโยชน์สำคัญต่าง ๆ มากมายอย่างลดภาวะการอักเสบในร่างกาย และเสริมระบบภูมิคุ้มกันชะลอความเสื่อมของร่างกาย ทั้งในระบบเลือด ข้อต่อ เอ็น กล้ามเนื้อ จอประสาทตา ระบบสมอง และระบบประสาทช่วยป้องกันตาแห้ง ตาอ่อนล้า ลดอาการเจ็บตา ช่วยลดสารอนุมูลอิสระในดวงตา ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังดวงตา ป้องกัน และฟื้นฟูจอประสาทตาที่เสื่อม ซึ่งพบมากในผู้สูงอายุ และ ผู้ป่วยเบาหวาน ช่วยป้องกันดวงตาจากรังสีอัลตร้าไวโอเลตปกป้องโครงสร้างผิว จากการถูกทำลายโดยแสงแดดและรังสี อัลตราไวโอเลต ช่วยกระชับรูขุมขน ลดเลือนริ้วรอย คืนความชุ่มชื้น และความอ่อนเยาว์ช่วยเสริมการทำงานของเซลล์สื่อประสาทในสมอง เพิ่มการจดจำ และลดอาการหลงลืมลดระดับความดันโลหิต เพิ่มการไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดฝอย ช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ในร่างกาย ช่วยให้ฟื้นฟูร่างกายได้เร็วขึ้นป้องกันโรคหัวใจ โดยป้องกันการอักเสบภายในหลอดเลือด ซึ่งทางการแพทย์ชี้ว่าเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจในปัจจุบันช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค โดยเฉพาะผู้ป่วยภูมิแพ้ตัวเอง ภูมิต้านทานต่ำ และการติดเชื้อไวรัสเรื้อรังช่วยป้องกันการเสื่อมของไตและหลอดเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน บทความอ้างอิงAstaxanthin, the most powerful antioxidant found in nature จากบล็อก https://www.yamamotonutrition.com/int/blog/post/astaxanthin-the-most-powerful-antioxidant-found-in-nature-a1754 Haematococcus pluvialis - Wikipedia จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Haematococcus_pluvialis แอสต้าแซนธิน จาก https://www.thpherbal.com/product/22814-25764/แอสต้าแซนธิน Astaxanthin (แอสตาแซนทิน) - พบแพทย์ (pobpad.com) จาก https://www.pobpad.com/astaxanthin

!!น้ำมันมะพร้าว คุณค่ามหัศจรรย์จากธรรมชาติ!!

!!น้ำมันมะพร้าว คุณค่ามหัศจรรย์จากธรรมชาติ!!

มีนาคม 23, 2568

น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil)     เป็นหนึ่งในสารสกัดที่ได้รับการยอมรับ และถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย อีกทั้งยังมีการนำมาใช้ในการรักษาโรค อย่าง การรักษาแผลไหม้ ท้องผูก ลำไส้อักเสบ ฆ่าเชื้อในช่องปาก เป็นต้น     น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil) เป็นน้ำมันที่ได้จากการสกัดส่วนของเนื้อมะพร้าว โดยแยกเอาเฉพาะส่วนของน้ำมันออกมา โดยแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่น้ำมันมะพร้าว (Refined Bleaching Deodorizing Coconut Oil: RBD) เป็นน้ำมันที่ได้จากเนื้อมะพร้าวห้าวหรือเนื้อมะพร้าวแห้ง (Copra) ด้วยกรรมวิธีการสกัดด้วยตัวทำละลาย โดยผ่านความร้อนสูง 3 กระบวนการ ได้แก่ การทำให้บริสุทธิ์ (Refining) การฟอกสี (Bleaching) และการกำจัดกลิ่น (Deodorization) ทำให้ได้น้ำมันมะพร้าวที่มีสีเหลืองอ่อน ปราศจากกลิ่น รส และมีกรดไขมันอิสระไม่เกินร้อยละ 0.1 แต่วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวจะถูกกำจัดออกไปน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ หรือ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น (Virgin Coconut Oil: VCO) เป็นน้ำมันมะพร้าวที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในตอนนี้ โดยมีกรรมวิธีการสกัดโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ใช้ความร้อนสูงและไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปทางเคมี มีสีใสเหมือนน้ำ มีวิตามินอี ไม่ผ่านกระบวนการเติมออกซิเจน มีค่าเบอร์ออกไซด์ กรดไขมันต่ำ และมีกลิ่นมะพร้าวอ่อน ๆ    น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวเป็นองค์ประกอบหลัก (มากกว่า 90%จากปริมาณกรดไขมันทั้งหมด) ซึ่งกรดไขมันอิ่มตัวที่ได้จากน้ำมันมะพร้าว เป็นกรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลสายขนาดปานกลาง (Medium chain fatty acid) ที่มีมากถึง 63% เช่น กรดลอริก (Lauric acid) ซึ่งเมื่อรับประทานและถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะถูกเผาผลาญได้ดี สะสมในเนื้อเยื่อไขมัน (Adipose tissue) และกรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลยาว (Long chain fatty acid) 30% ที่เหลือเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวสายยาว 7% ซึ่งเป็นกลุ่มกรดไขมันจำเป็นที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งแตกต่างจากกลุ่ม Long chain fatty acids ที่พบใน นม เนย ชีส และไขมันจากสัตว์ทุกชนิด ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพซึ่งควรจะหลีกเลี่ยง    และด้วยโครงสร้างที่แตกต่างของกรดไขมันจากน้ำมันมะพร้าว จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก ทำให้เมื่อเรารับประทานน้ำมันมะพร้าว ร่างกายจะดูดซึมได้ทันที และจะส่งผ่านไปที่ตับ จากนั้นตับจำทำการเปลี่ยนกรดไขมันเหล่านี้เป็นสารคีโตน ซึ่งสารคีโตนนี้เป็นสารที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของสมอง ทำให้ช่วยฟื้นฟูความจำ ป้องกันโรคอัลไซเมอร์     อีกทั้งกรดไขมันจากน้ำมันมะพร้าวจะช่วยให้ต่อมไทรอยด์ทำงานได้ดีขึ้น จึงมีผลให้ระบบเผาผลาญไขมันโดยเฉพาะไขมันช่องท้องทำงานได้ดีมากขึ้น จึงช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน รวมถึงป้องกันโรคความดันโลหิตสูงได้     อกจากนี้ผลพลอยได้จากอัตราการเผาผลาญที่เพิ่มขึ้น ไขมันและน้ำตาลที่สะสมในร่างกายถูกนำไปเผาผลาญเป็นพลังงาน ทำให้ช่วยลดระดับน้ำตาล และลดอัตราการเกิดโรคเบาหวานได้     อีกทั้งน้ำมันมะพร้าวยังช่วยบำรุงผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น บำรุงผม ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราอีกด้วย    อย่างไรก็ตาม การรับประทาน "น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น" ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน มีการบรรจุจัดเก็บที่ดี เพื่อคงคุณภาพของสารสกัด และลดการปนเปื้อนก่อนที่เราจะรับประทานเข้าสู่ร่างกาย และการรับประทานน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นเพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก แนะนำให้ทานควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารให้เหมาะสมในแต่ละวัน และออกกำกายอย่างสม่ำเสมอ Referencesสิ่งที่หลายคนเริ่มตระหนักเมื่อใช้ mct oil - https://www.atmosphereinstitut.com/admin/2025/06/18/11/สิ่งที่หลายคนเริ่มตระห/ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่าง mct oil - https://www.downlyn.com/2025/06/09/ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่/การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการใช้ mct oil อย่างต่อเนื่อง - https://www.herbolariadepetras.com/2025/06/14/การเปลี่ยนแปลงที่เกิดข/

บทบาทของแคลเซียมและวิตามินดี

บทบาทของแคลเซียมและวิตามินดี

มีนาคม 22, 2568

บทบาทของแคลเซียมและวิตามินดีแคลเซียม    แคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่มีมากที่สุดในร่างกาย ประมาณ 1.2 กิโลกรัม (ราว 300 มิลลิโมล) อยู่ในร่างกายมนุษย์ โดย 99% ของแคลเซียมทั้งหมดอยู่ในกระดูกและฟัน อีกส่วนอยู่ในของเหลวของร่างกายและเนื้อเยื่ออ่อน แคลเซียมมีบทบาทสำคัญสองประการ: สนับสนุนความมั่นคงทางโครงสร้าง; ควบคุมการทำงานเชิงเมตาบอลิซึม โครงสร้างระดับเซลล์ การเผาผลาญทั้งระหว่างเซลล์และภายในเซลล์ การส่งสัญญาณ การหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ การทำงานของเส้นประสาท กิจกรรมของเอนไซม์ และการแข็งตัวของเลือดตามปกติ ล้วนขึ้นอยู่กับแคลเซียม ไม่มีตัวชี้วัดการทำงาน (functional marker) ของสถานะแคลเซียม เพราะบทบาทในการทำให้เลือดแข็งตัวเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก จึงมีการคงระดับแคลเซียมในพลาสมาให้อยู่ในช่วงแคบมาก [1]    บริเวณ เจจูนัม อิลีอัม และลำไส้ใหญ่ เป็นแหล่งดูดซึมแคลเซียมหลัก การดูดซึมเกิดได้ทั้งแบบการลำเลียงเชิงรุก (active transport) และการแพร่ผ่านแบบง่าย (passive diffusion) เมื่อรับแคลเซียมต่ำ การลำเลียงเชิงรุกจะเด่นกว่า แต่เมื่อปริมาณแคลเซียมเพิ่มขึ้น การดูดซึมผ่านเส้นทางที่ไม่จำเพาะจะมากขึ้น เมแทบอไลต์ของวิตามินดี 1,25-ไดไฮดรอกซีโคลีแคลซิเฟอรอล กระตุ้นการลำเลียงแคลเซียมผ่านเซลล์เยื่อบุลำไส้โดยเหนี่ยวนำให้เกิดการสร้างโปรตีนจับแคลเซียม กระบวนการนี้เกิดในเซลล์วิลลัสผ่านขั้นตอนปกติของการจับกับตัวรับ (receptor binding) การปฏิสัมพันธ์กับดีเอ็นเอ และการสร้างเอ็มอาร์เอ็นเอ ดังนั้นวิตามินดีจึงมีความสำคัญต่อการดูดซึมแคลเซียมอย่างมีประสิทธิภาพ [1] วิตามินดี    วิตามินดี หมายถึง วิตามิน D2 (เออร์โกแคลซิเฟอรอล) หรือ วิตามิน D3 (โคลีแคลซิเฟอรอล) เออร์โกแคลซิเฟอรอลผลิตจากเชื้อรา/ยีสต์ที่ผ่านการฉายรังสี ส่วนโคลีแคลซิเฟอรอลผลิตได้ในผิวหนัง หรือพบตามธรรมชาติในปลามัน เช่น แซลมอนหรือแมคเคอเรล     อาหารสามารถเสริมได้ด้วยวิตามินดีทั้งสองชนิด แต่มีเพียงโคลีแคลซิเฟอรอลเท่านั้นที่ร่างกายสร้างเองได้ในผิวหนัง สารตั้งต้น 7-ดีไฮโดรคอเลสเตอรอล ในผิวหนังจะถูกแปลงเป็นพรีวิตามิน D3 และไอโซเมอไรซ์เป็นวิตามิน D3 เมื่อสัมผัส รังสียูวีบี 290–315 นาโนเมตร ปริมาณวิตามิน D3 ที่สร้างได้ในผิวหนังได้รับอิทธิพลจากสีผิว อายุ การใช้ครีมกันแดด รวมถึงช่วงเวลาในวัน ฤดูกาล และละติจูด [2]    เมื่อวิตามินดีถูกสร้างในผิวหนัง (D3) หรือได้รับจากอาหาร (D2 หรือ D3) มันจะเข้าสู่กระแสเลือดโดยจับกับ วิตามินดี–ไบน์ดิงโปรตีน รูปแบบหลักของวิตามินดีที่หมุนเวียนในร่างกายคือ 25-ไฮดรอกซีวิตามินดี (25(OH)D) ซึ่งเกิดในตับจากการไฮดรอกซิเลชันของ D2 และ D3 จึงเป็นตัวชี้วัดที่ดีที่สุดของระดับวิตามินดีเพราะสะท้อนทั้งแหล่งภายในและภายนอกร่างกาย เพื่อสร้างรูปแบบที่ออกฤทธิ์ทางสรีรวิทยา     25(OH)D จะถูกไฮดรอกซิเลชันโดยเอนไซม์ 1α-ไฮดรอกซิเลส ในไตให้เป็น 1,25-ไดไฮดรอกซีวิตามินดี (1,25(OH)2D; แคลซิไตรออล) 1,25(OH)2D หมุนเวียนโดยจับกับโปรตีนจับวิตามินดี เข้าสู่เซลล์เป้าหมาย จับกับ วิตามินดีรีเซพเตอร์ (VDR) ในไซโทพลาสซึม จากนั้นเข้าสู่นิวเคลียสและสร้างเฮเทอโรไดเมอร์กับ เรติโนอิกแอซิดเอ็กซ์รีเซพเตอร์ (RXR) เพื่อเพิ่มการถอดรหัสยีนที่ขึ้นกับวิตามินดี ซึ่งสำคัญต่อเมแทบอลิซึมของกระดูก การดูดซึมแคลเซียม และหน้าที่อื่นที่ไม่ใช่คลาสสิก (เช่น การยับยั้งยีนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของมะเร็ง) [2, 3]  ประโยชน์ของแคลเซียมและวิตามินดีโรคกระดูกพรุน    โรคกระดูกพรุนเป็นโรคเมแทบอลิซึมของกระดูกที่มีลักษณะมวลกระดูกต่ำและโครงสร้างจุลภาคของกระดูกเสื่อม ทำให้กระดูกเปราะและเสี่ยงต่อกระดูกหักเพิ่มขึ้น โดยประมาณมีผู้ป่วย สามล้านคนทั่วโลก คิดเป็น ผู้หญิง 1 ใน 3 และ ผู้ชาย 1 ใน 12 ที่อายุ > 50 ปี จะมีโรคกระดูกพรุนในช่วงหนึ่งของชีวิต [1]    กระดูกเป็นเนื้อเยื่อมีชีวิต มีการสร้างกระดูก (โดยออสทีโอไซต์และออสทีโอ บลาสต์) และการสลายกระดูก (เกี่ยวข้องกับออสทีโอคลาสต์) อย่างต่อเนื่อง ออสทีโอคลาสต์จะเคลื่อนมาที่ผิวกระดูกที่สงบและขุดเป็นโพรง จากนั้นเซลล์นิวเคลียสเดี่ยวจะเกลารอยโพรง ซึ่งจะเป็นบริเวณที่ดึงดูดออสทีโอบลาสต์มาสร้างเมทริกซ์กระดูกใหม่ ต่อด้วยการทำให้แร่ธาตุสะสมในกระดูกที่สร้างขึ้นใหม่ เมื่อเสร็จสิ้นเซลล์บุผิวจะกลับมาปกคลุมผิวทราเบคิวลาร์อีกครั้ง [1]    เป็นที่ทราบกันดีว่าวิตามินดีช่วยส่งเสริมการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้และไต และช่วยคงระดับแคลเซียมในซีรั่มให้พอเหมาะเพื่อการทำแร่ธาตุของกระดูกตามปกติ ออสทีโอบลาสต์และออสทีโอคลาสต์ต้องการวิตามินดีในการพัฒนากระดูกและซ่อมแซม [4] วิตามินดีกระตุ้นการสร้างเมทริกซ์กระดูกและการเจริญของกระดูก     นอกจากนี้ยังเพิ่มกิจกรรมของออสทีโอคลาสต์ และมีหลักฐานบางส่วนว่าอาจมีอิทธิพลต่อการแยกตัวของเซลล์ต้นกำเนิดของกระดูก [1] แม้ว่าวิตามินดีจะถูกใช้เพื่อส่งเสริมสุขภาพกระดูก แต่ปัจจุบันหลักฐานเกี่ยวกับผลของการเสริมวิตามินดีเพียงอย่างเดียวต่อการลดกระดูกหักยังมีจำกัดและขัดแย้งกัน ดังนั้น แคลเซียมและวิตามินดีจึงทำงานร่วมกันแบบเสริมฤทธิ์ ต่อกระดูก [4] ประโยชน์ต่อโครงกระดูก    การทดลองแบบสุ่มมีกลุ่มควบคุมด้วยยาหลอกในผู้สูงอายุทั้งที่อยู่ในสถานพยาบาลและที่อาศัยเอง แสดงให้เห็นว่า วิตามินดีเดี่ยวหรือร่วมกับแคลเซียม ลดอุบัติการณ์กระดูกสะโพกหักและ/หรือกระดูกนอกสันหลังหักลงได้ 20–30%     เมตาอะนาลิซิสระบุว่าการรับประทานวิตามินดีร่วมกับแคลเซียม ลดความเสี่ยงกระดูกสะโพกหัก 18% และกระดูกนอกสันหลังหัก 12% ส่วนใหญ่ของการศึกษานี้ใช้วิตามินดีอย่างน้อย 800 IU/วัน และพบว่าระดับ 25(OH)D ขั้นต่ำ 29.7 ng/mL (74 nmol/L) มีผลป้องกันกระดูกหัก บ่งชี้เกณฑ์ระดับวิตามินดีที่เหมาะสม [2] บทบาทต่อมะเร็งมีเหตุผลทางชีววิทยาที่หนักแน่นต่อความสัมพันธ์ระหว่างภาวะขาดวิตามินดีกับความเสี่ยงมะเร็งที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการใช้วิตามินดีหรืออนาล็อกที่ออกฤทธิ์ของมันในการป้องกันและรักษามะเร็ง พบการแสดงออกของ VDR ในเนื้องอกส่วนใหญ่ การทดลองในหลอดทดลองและสัตว์แสดงว่า 1,25(OH)2D ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ การสร้างหลอดเลือด การรุกราน และส่งเสริมการเปลี่ยนสภาพและการตายแบบอะพอพโทซิส ในเซลล์มะเร็ง สัญญาณ 1,25(OH)2D/VDR กระตุ้นกิจกรรม TGF-β กระตุ้นตัวยับยั้งไซคลินดีเพนเดนต์ไคเนส (เช่น p21, p27) และยับยั้งปัจจัยกระตุ้นการเจริญเติบโต เช่น IGF-1 และ EGF จึงยับยั้งการเพิ่มจำนวนและการเติบโตของมะเร็ง เส้นทางนี้ยังสามารถปรับลด COX-2, โปรสตาแกลนดิน และ NF-κB ซึ่งช่วยป้องกันการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับเนื้องอก และสามารถยับยั้งโปรตีนต้านอะพอพโทซิส (เช่น Bcl-2) พร้อมกระตุ้นโปรตีนก่ออะพอพโทซิส (เช่น Bax, RAK) โดยทำงานร่วมกันเพื่อยับยั้งการเติบโตของมะเร็ง [5] สุขภาพช่องปากมีข้อมูลบ่งชี้ว่า 1,25(OH)2D/VDR มีบทบาทในการรักษาสมดุลของเยื่อบุผิวช่องปากและภูมิคุ้มกันช่องปาก เคราติโนไซต์ของช่องปาก มี VDR ซึ่งมีบทบาทไม่ขึ้นกับลิแกนด์ในการจำกัดการเพิ่มจำนวนของเคราติโนไซต์ และสัญญาณ 1,25(OH)2D/VDR ยับยั้งการเพิ่มจำนวนได้แรงยิ่งขึ้น การศึกษาทั้งในหลอดทดลองและในสัตว์แสดงว่าภาวะขาดวิตามินดีทำให้การเพิ่มจำนวนของเคราติโนไซต์ในช่องปากสูงขึ้น แม้ไม่พบการเปลี่ยนแปลงทางสัณฐานหรือลักษณะทางจุลพยาธิวิทยา [5]ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านจุลชีพ และการปรับภูมิคุ้มกันของสัญญาณ 1,25(OH)2D/VDR น่าจะมีบทบาทรักษาสมดุลของเนื้อเยื่อช่องปากโดยรวม จึงให้การป้องกันบางส่วนต่อโรคปริทันต์จากคราบแบคทีเรีย มีหลักฐานว่าภาวะขาดวิตามินดีหรือโพลีมอร์ฟิซึมของ VDR สัมพันธ์กับความเสี่ยงโรคปริทันต์เรื้อรังที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นการให้วิตามินดีที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพอาจเป็นทางเลือกเสริมต่อการรักษามาตรฐานของปริทันต์อักเสบเรื้อรัง [5] วัยหมดประจำเดือนในสตรีหลังวัยหมดประจำเดือน การสูญเสียเอสโตรเจนส่งผลต่อสมดุลแคลเซียมหลายประการ รวมถึงเพิ่มการสลายกระดูก ลดการดูดซึมแคลเซียม และเพิ่มการขับแคลเซียมทางปัสสาวะ การตัดรังไข่ในหนูไม่ลดระดับ 1,25(OH)2D ในซีรั่ม แม้ว่าระดับเอสโตรเจนที่ต่ำในสตรีวัยหมดประจำเดือนจะสัมพันธ์กับระดับ 1,25(OH)2D ที่ลดลงก็ตาม ขณะที่การตัดรังไข่ในสตรีอายุน้อยทำให้การดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ที่เหนี่ยวนำโดย 1,25(OH)2D ลดลง และกลับคืนได้ด้วยการให้เอสโตรเจน แม้ว่าการลดระดับ VDR ในเนื้อเยื่อหลังการสูญเสียเอสโตรเจนจะไม่พบในทุกการศึกษา แต่ข้อค้นพบอื่นชี้ว่า ผลของการสูญเสียเอสโตรเจนต่อการตอบสนองของลำไส้ต่อ 1,25(OH)2D เกิดจากระดับ VDR ที่ลดลง [6]การบริโภคแคลเซียมและวิตามินดีในปริมาณสูง สัมพันธ์เชิงผ่อนปรน กับความเสี่ยงวัยหมดประจำเดือนก่อนอายุที่ลดลง ในทางตรงกันข้าม การได้รับแคลเซียมแบบเสริม (อาหารเสริม) สัมพันธ์เชิงบวกกับวัยหมดประจำเดือนก่อนอายุ ขณะที่การเสริมวิตามินดีไม่สัมพันธ์ [7] ผลข้างเคียงแคลเซียม    ผู้ใช้แคลเซียมเสริมทราบดีว่ามีแนวโน้มทำให้เกิดอาการทางทางเดินอาหาร โดยเฉพาะ ท้องผูก ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในผู้สูงอายุที่เปราะบาง มีหลักฐานว่าแคลเซียมเสริมเพิ่มความเสี่ยง กล้ามเนื้อหัวใจตาย และอาจรวมถึง หลอดเลือดสมอง งานวิจัยในผู้ป่วยโรคไตที่ได้รับแคลเซียมเพื่อจับฟอสเฟตก็พบการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น ดังที่กล่าวไป การเสริมแคลเซียมทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดสูงขึ้นเฉียบพลัน และระดับแคลเซียมในเลือดที่สูงขึ้นสัมพันธ์กับความเสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจตาย หลอดเลือดสมอง และการเสียชีวิตที่สูงขึ้นในงานวิจัยแบบกลุ่มตามประชากร [8] วิตามินดี    การศึกษาส่วนใหญ่ใช้ขนาด 400–1000 IU/วัน โดยไม่พบหลักฐานผลไม่พึงประสงค์ และโดยทั่วไปถือว่าขนาด สูงถึง 2000 IU/วัน ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม มีการทดลองที่พบว่าการให้วิตามินดี 4000 IU/วัน, 60,000 IU/เดือน, หรือ 300,000–500,000 IU/ปี เพิ่มความเสี่ยง หกล้ม และ/หรือ กระดูกหัก และงานวิจัยระยะ 3 ปีล่าสุดพบว่า 4000 IU/วัน และ 10,000 IU/วัน เร่งการสูญเสียมวลกระดูก การใช้ขนาดสูงมากเหล่านี้จึงไม่สมเหตุสมผล เพราะเกณฑ์ประโยชน์ต่อกระดูกของวิตามินดีบรรลุได้ด้วย 400–1000 IU/วัน การเสริมเกิน 2000 IU/วัน ควรทำภายใต้การควบคุมอย่างเคร่งครัดและเฉพาะกรณีพิเศษ [8]ReferencesLanham-New S. Importance of calcium, vitamin D and vitamin K for osteoporosis prevention and treatment. Proceedings of the Nutrition Society. 2008 [cited 2022 November 30]; 67: 163-76. Available form: https://www.cambridge.org/core/journals/proceedings-of-the-nutrition-society/article/importance-of-calcium-vitamin-d-and-vitamin-k-for-osteoporosis-prevention-and-treatment/C30A29EDA3064CC8313079BAF4C486C6Khazai N, Judd S, Tangpricha V. Calcium and vitamin D: skeletal and extraskeletal health. Current Rheumatology Reports. 2008 [cited 2022 November 30]; 10: 1-13. Available form: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2669834/Heravi A, Michos E. Vitamin D and Calcium Supplements: Helpful, Harmful, or Neutral for Cardiovascular Risk? Methodist Debakey Cardiovascular Journal. 2019 [cited 2022 November 30]; 15: 207-13. Available form: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6822648/Weaver C, Alexander D, Boushey C, Dawson-Hughes B, Lappe J, LeBoff M, et al. Calcium plus vitamin D supplementation and risk of fractures: an updated meta-analysis from the National Osteoporosis Foundation. Osteoporosis International. 2016 [cited 2022 November 29]; 27: 367-76. Available form: https://link.springer.com/article/10.1007/s00198-015-3386-5Khammissa R, Fourie J, Motswaledi M, Ballyram R, Lemmer J, Feller L. The Biological Activities of Vitamin D and Its Receptor in Relation to Calcium and Bone Homeostasis, Cancer, Immune and Cardiovascular Systems, Skin Biology, and Oral Health. BioMed Research International. 2018 [cited 2022 November 30]; 2018: 1-10. Available form: https://www.hindawi.com/journals/bmri/2018/9276380/Fleet J. The role of vitamin D in the endocrinology controlling calcium homeostasis. Molecular and Cellular Endocrinology. 2017 [cited 2022 November 30]; 453: 1-24. Available form: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5529228/Purdue-Smithe A, Whitcomb B, Szegda K, Boutot M, Manson J, Hankinson S, et al. Vitamin D and calcium intake and risk of early menopause. The American Journal of Clinical Nutrition. 2017 [cited 2022 November 30]; 105: 1493-1501. Available form: https://academic.oup.com/ajcn/article/105/6/1493/4633994?login=falseReid I, Bolland M. Calcium and/or Vitamin D Supplementation for the Prevention of Fragility Fractures: Who Needs It? Nutrients. 2020 [cited 2022 November 30]; 12: 1-9. Available form: https://www.mdpi.com/2072-6643/12/4/1011

แสงสีฟ้า ภัยร้ายของยุคที่ชีวิตติดจอ!!!

แสงสีฟ้า ภัยร้ายของยุคที่ชีวิตติดจอ!!!

มีนาคม 21, 2568

แสงสีฟ้า ภัยร้ายยุคชีวิตติดจอ     แสงสีฟ้า: ในทุกวันนี้ชีวิตประจำวันของเราส่วนใหญ่มักอยู่กับหน้าจอคอม หน้าจอโทรศัพท์ แท็บแลต และสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ดวงตาจะได้รับแสงสีฟ้าจากอุปกรณ์เหล่านี้ไปด้วย ซึ่งเจ้าแสงสีฟ้านี่แหละที่เป็นภัยเงียบที่เข้ามามีผลต่อดวงตาเราโดยตรง 3 ภาวะเสี่ยงที่เกิดจากแสงสีฟ้าได้แก่ ภาวะตาล้า (Digital Eye Strain) มีอาการล้า คัน เคือง ปวด แสบตา มองภาพไม่ชัด ภาพซ้อน ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา น้ำตาไหล ตาแห้ง ดวงตาไวต่อแสงมากขึ้นภาวะเซลล์ประสาทตาตาย เมื่อดวงตาได้รับแสงสีฟ้า จะส่งผลให้เซลล์ดวงตาเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ค่าสายตาผิดปกติเร็วขึ้น เนื่องจากคลื่นแสงพลังงานสูงเหนี่ยวนำให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระ (Free Radical) ในเซลล์ของจอประสาทตาจอประสาทตาเสื่อม สารเคมีช่วยการมองเห็นในจอตาที่เรียกว่าเรตินอล (Retinal) ทำปฏิกิริยากับแสงสีฟ้า ทำให้เกิดโมเลกุลมีพิษทำลายเยื่อหุ้มเซลล์รับแสงจนเซลล์ตายลง ส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรเพราะจอตาไม่สามารถส่งสัญญาณสื่อประสาทไปยังสมองได้โรคตาแห้ง (Dry Eye) ทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคือง หรือแสบตา ในบางรายอาจพบอาการตาแดงร่วมด้วย อาการเหล่านี้มักพบในกลุ่มคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ และอยู่ในห้องปรับอากาศตลอดเวลา คนที่ผ่าตัดหรือทำเลเซอร์ตา และหากปล่อยให้ตาแห้งเป็นเวลานาน ๆ อาจส่งผลให้เกิดภาวะตาอักเสบ และเสี่ยงต่อภาวะดวงตาติดเชื้อ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาการมองเห็นต่อไปในอนาคตโรคต้อกระจก (Cataract) มีอาการเห็นภาพมัว มีฝ้าขาว ซึ่งแต่ละคนจะมีระดับความรุนแรงของอาการไม่เหมือนกันวิธีการดูแลดวงตาจากแสงสีฟ้า ได้แก่ ลดความสว่างของหน้าจออุปกรณ์ต่าง ๆติดฟิล์มที่หน้าจออุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยกรองแสงสีฟ้าพักสายตาทุก ๆ 30 นาที โดยหลับตาพักประมาณ 1 นาที มองไปไกลออกไป 30 วินาที และหาผ้าชุปน้ำอุ่น ๆ ประคบไว้ที่ดวงตาประมาณ 1-2 นาทีสวมแว่นกรองรังสีจากหน้าจออุปกรณ์ต่าง ๆกระพริบตา 1-2 ครั้งต่อ 10 วินาทีหาวิตามินเสริมเพื่อดูแลดวงตา ด้วยสารสกัดจากบิลเบอร์รี่ พร้อมเสริมการทำงานของดวงตาด้วยลูทีนบิลเบอร์รี่ (Bilberry) เป็นผลไม้สีน้ำเงินม่วง ตระกูลเดียวกับเบอร์รีทั้งหลาย และมีนักวิจัย ไมเคิล ที เมอร์เรย์ (Michael T. Murray) ได้กล่าวว่าสาร แอนโธไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides)สารสีน้ำเงินหรือม่วงที่พบมากในบิลเบอร์รี มีคุณสมบัติสำคัญคือสารต้านอนุมูลอิสระที่มีบทบาทต่อดวงตา มีผลต่อเซลล์เยื่อบุผิวเรตินาในการมองเห็น และลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา ช่วยป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก และป้องกันจอประสาทตาเสื่อม อีกทั้งยังช่วยสร้างความแข็งแรงของคอลลาเจนในเส้นเลือดฝอยที่ตาและเชื่อมต่อเนื้อเยื่อดีขึ้น ลดอาการตาแห้ง ตาล้า และมีส่วนช่วยบรรเทาอาการตาบอดกลางคืน ทำให้การมองเห็นในที่สลัวดีขึ้น ควบคุมการทำงานของเรตินาจอรับแสงป้องกันโรคตาบอดแสง และการมองไม่เห็นในตอนกลางวันลูทีน (Lutein) เป็นสารอาหารในกลุ่มที่เรียกว่าแซนโทฟิลส์ (xanthophylls) มีลักษณะเป็นสารสีเหลือง อยู่ในจำพวกแคโรทีนอยด์ (carotenoids) เป็นสารอาหารที่ช่วยชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา ภายในจอประสาทตาจะมีร่องเล็ก ๆ ที่มีเซลล์คอยรับภาพจากจอประสาทตา เป็นจุดที่แสงตกกระทบ และทำให้สามารถมองเห็นภาพที่ชัดเจนในแต่ละวันได้ ซึ่งบริเวณนี้จะพบลูทีนอยู่จำนวนมาก โดยจะพบได้ตรงชั้นเนื้อเยื่อที่หล่อเลี้ยงเส้นประสาท ซึ่งจุดที่สำคัญต่อการมองเห็นเป้นอย่างมาก หากบริเวณดังกล่าวเสื่อม หรือสูญเสียหน้าที่ จะทำให้สูญเสียการมองเห็น หรือตาบอดได้โดยลูทีน จะทำหน้าที่สำคัญในการกรองแสงสี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในดวงตา อีกทั้งยังเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องจอประสาทตา โดยลูทีนจะทำงานร่วมกับกรดไขมันดีเอชเอ และเอเอ ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านการมองเห็นของเด็กอีกด้วย ReferencesGazzolo D, Picone S, Gaiero A, Bellettato M, Montrone G, Riccobene F, et al. Early Pediatric Benefit of Lutein for Maturing Eyes and Brain-An Overview. Nutrients. 2021 [cited 2023July 17]; 13: 1-26. Available form: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC8468336/Mrowicka M, Mrowicki J, Kucharska E, Majsterek I. Lutein and Zeaxanthin and Their Roles in Age-Related Macular Degeneration-Neurodegenerative Disease. Nutrients. 2022 [cited 2023 July 17]; 14: 1-14. Available form: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC8874683/Mares J. Lutein and Zeaxanthin Isomers in Eye Health and Disease. Annu Rev Nutr. 2016 [cited 2023 July 17]; 36: 571-602. Available form: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5611842/Johra F, Bepari A, Bristy A, Reza H. A Mechanistic Review of β-Carotene, Lutein, and Zeaxanthin in Eye Health and Disease. Antioxidants (Basel). 2020 [cited 2023 July 19]; 9: 1-21. Available form: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7692753/Li LH, Lee JC, Leung HH, Lam WC, Fu Z, Lo ACY. Lutein Supplementation for Eye Diseases. Nutrients. 2020 [cited 2023 July 19]; 12: 1-27. Available form: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7352796/Muz O, Orhan C, Erten F, Tuzcu M, Ozercan I, Singh P, et al. A Novel Integrated Active Herbal Formulation Ameliorates Dry Eye Syndrome by Inhibiting Inflammation and Oxidative Stress and Enhancing Glycosylated Phosphoproteins in Rats. Pharmaceuticals (Basel). 2020 [cited 2023 July 19]; 13: 1-18. Available form: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7599565/Buscemi S, Corleo D, Di Pace F, Petroni ML, Satriano A, Marchesini G. The Effect of Lutein on Eye and Extra-Eye Health. Nutrients. 2018 [cited 2023 July 19]; 10: 1-24. Available form: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6164534/

สารสกัดน้ำมันงา มหัศจรรย์จากธัญพืช

สารสกัดน้ำมันงา มหัศจรรย์จากธัญพืช

มีนาคม 19, 2568

สารสกัดน้ำมันงา“งา” พืชเมล็ดจิ๋วที่ทุกคนรู้จักกันดี เป็นเมล็ดพืชเมล็ดจิ๋วแต่แจ๋วแถมยังดีต่อสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก เช่น ให้พลังงาน 697 กิโลแคลอรี่ ให้น้ำ 3.0 กรัม ให้โปรตีน 26.1 กรัม ไขมันดี 64.2 กรัม ให้คาร์โบไฮเดตร 64.2 กรัม และให้แคลเซียม 90 มิลลิกรัม ทั้งยังอุดมไปด้วย โอเมก้า 3 โอเมก้า 6 และโอเมก้า 9 จึงทำให้งามักถูกนำมาใช้ประโยชน์ทั้งทางด้านสุขภาพและความงามเป็นจำนวนมากความมหัศจรรย์ของธัญพืชเมล็ดจิ๋ว “งา”เสริมความแข็งแรงของกระดูก สารสกัดน้ำมันงา เป็นแหล่งรวมแร่ธาตุหลายชนิดที่ล้วนดีต่อสุขภาพกระดูก เช่น ซิงค์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น โดยทางข้อมูลทางโภชนาการได้ระบุว่า งา มีปริมาณแคลเซียมมากกว่านมวัวถึง 6 เท่า และมีมากกว่าผักหลายๆ ชนิดถึง 20 เท่า ทำให้เมื่อรับประทานน้ำมันงา เป็นประจำสม่ำเสมอจึงช่วยเสริมการเติบโตของกระดูก และเสริมสร้างความแข็งแรงพร้อมซ่อมแซมกระดูกและกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บ ลดอัตราเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน และป้องกันข้อเข่าเสื่อมลดอาการอักเสบ ในน้ำมันงา เปี่ยมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญอย่างธาตุคอปเปอร์ ที่มีฤทธิ์ในการต้านอาการอักเสบ อีกทั้งยังมีสารฟีนอลจำนวนมากที่เป็นสารในกลุ่มลิกแนนที่พบได้ในเฉพาะสารสกัดน้ำมันงา อันได้แก่ สารเซซามิน สารเซซามอล และสารเซซาโมลิน ซึ่งมีงานวิจัยเกี่ยวกับสารเซซามินในเมล็ดงาถึงผลในการรักษาโรคข้อเสื่อม พบว่า มีฤทธิ์ในการยับยั้งสารที่เข้าไปทำลายกระดูกอ่อนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเจ้าสารเซซามินจากน้ำมันงาจะเข้าไปเพิ่มความหนาของกระดูกอ่อน เพื่อลดการสูญเสีย และเพิ่มปริมาณการสร้างคอลลาเจน (Collagen) และโปรทีโอไกลแคน (Proteoglycans) ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างกระดูกอ่อนลดความเสี่ยงเกิดโรคมะเร็ง น้ำมันงา อุดมไปด้วยแร่ธาตุแมกนีเซียมที่เป็นแหล่งของไฟเดต (Phytate) ที่ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่จะนำพาให้เซลล์ในร่างกายเกิดโรคมะเร็งและโรคเรื้อรังร้ายแรงต่าง ๆลดอาการนอนไม่หลับ ในสารสกัดน้ำมันงา มีวิตามินบี ที่จะช่วยคนที่กำลังประสบปัญหา “นอนไม่หลับ” เนื่องจากวิตามินบีในสารสกัดน้ำมันงา มีส่วนช่วยให้ระบบประสาททำงานดีขึ้น ช่วยบำรุงระบบประสาท ลดอาการตึงเครียดของสมอง จึงช่วยให้นอนหลับสบายและหลับลึกขึ้น ลดระดับคอเลสเตอรอล ในกระบวนการสกัดน้ำมันงา จะได้ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดที่ดีต่อร่างกาย อย่าง โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันที่เกาะตามหลอดเลือด ที่เป็นสาเหตุของโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจอีกด้วยทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในความมหัศจรรย์จากธัญพืชเมล็ดจิ๋วอย่าง “งา”เท่านั้น ยังมีความมหัศจรรย์อีกมากมายที่เฉพาะตัวของเจ้าสารสกัดน้ำมันงาสามารถทำได้ แต่ด้วยองค์ประกอบหลักของสารสกัดน้ำมันงาให้พลังงานที่ค่อนข้างสูง จึงควรรับประทานวันละไม่เกิน 15 กรัม (1,000 มิลลิกรัม = 1 กรัม) และควรเพิ่มความพิถีพิถันในการเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เป็นสารสกัดจากงาบริสุทธิ์ที่แท้จริง เพราะมีบางแหล่งผลิตที่ทำการแต่งกลิ่นงาเพื่อดึงดูดความน่าสนใจ และควรเลือกแหล่งผลิตที่มีความน่าเชื่อถือ มีมาตรฐานรับรองถูกต้องเพื่อเป็นการการันตีถึงคุณค่าทางโภชนาการที่เราจะได้รับจากสารสกัดน้ำงา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อร่างกายที่เราควรได้รับอย่างเต็มที่ น้ำมันงา: ดีต่อสุขภาพหรือไม่?งา (Sesamum indicum L.) เป็นพืชน้ำมันที่มนุษย์ปลูกและบริโภคมาช้านาน อยู่ในวงศ์ Pedaliaceae และจัดอยู่ใน “พืชน้ำมันหลัก 4 ชนิดของจีน” ร่วมกับเรพซีด ถั่วเหลือง และถั่วลิสง ด้วย กลิ่นหอมเฉพาะและรสชาติมันหอม ทำให้น้ำมันงาถูกผลิตอย่างกว้างขวางและเป็นที่นิยม งาแบ่งได้ตามสีของเชื้อพันธุ์ (germplasm) เป็น งาขาว งาดำ และงาเหลือง โดยงาดำและงาขาวพบมากและปลูกแพร่หลายที่สุด งาดำมี ศักยภาพการเจริญเติบโตสูง ต้านการหักล้ม และทนแล้ง ส่วนงาขาวมี ปริมาณน้ำมันสูง คุณภาพดี และมีพื้นที่เพาะปลูก/การกระจายมากที่สุด [1]เมล็ดงานั้นอุดมด้วย ไขมัน โปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร น้ำมันงาที่ได้จากกระบวนการสกัดแบบดั้งเดิมอุดมด้วย กรดไขมันไม่อิ่มตัว วิตามินที่ละลายในไขมัน กรดอะมิโน และสารอาหารอื่น ๆ งานวิจัยพบว่าเมล็ดงามี โปรตีน 21.9% และไขมัน 61.7% และมีแร่ธาตุสูง นอกจากคุณค่าสารอาหาร งายังมี องค์ประกอบออกฤทธิ์ ที่สำคัญหลายชนิด เช่น เซซามิน เซซามอลิน เซซามอล เซซามินอล เซซามอลินฟีนอล และลิกแนนอื่น ๆ ซึ่งปริมาณของแต่ละชนิดจะแตกต่างตาม วิธีสกัดและสภาพแวดล้อมการปลูก เช่น น้ำมันงาคั่วร้อน มี เซซามอล เซซามิน และลิกแนนรวม สูงกว่าแบบ สกัดเย็น และ แบบกลั่น (refined) [1]น้ำมันงา เป็นน้ำมันหอมที่สกัดจากเมล็ดงา เป็นผลิตผลจากการแปรรูปขั้นต้นและใช้เป็น น้ำมันบริโภค ได้ ใน น้ำมันงา มี กรดไลโนเลอิกและไลโนเลนิก รวมถึงสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจำนวนมาก เช่น ลิกแนน วิตามินอีธรรมชาติ และไฟโตสเตอรอล น้ำมันงาที่ได้ด้วย การสกัดเย็น มีคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการสูง กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลักคือ กรดไลโนเลอิก 46.9% รองลงมาคือ กรดโอเลอิก 37.4% ซึ่งเป็น กรดไขมันจำเป็น ที่ร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหาร [1] ประโยชน์ต่อสุขภาพของน้ำมันงาโรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis; OA)น้ำมันงาช่วย บรรเทาความผิดปกติของกล้ามเนื้อสี่หัวต้นขา (quadriceps) ในหนูที่เป็น OA ความแข็งแรงกล้ามเนื้อต่ำสัมพันธ์กับการ ผลิต IL-6 ที่เพิ่มขึ้น และ กิจกรรม citrate synthase (CS) ที่ลดลง ในหลายโมเดลโรคของสัตว์ การเปลี่ยนชนิดของ myosin heavy chain (MHC) เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยในผู้ป่วย OA ความแข็งแรงที่ลดลงสัมพันธ์กับ เส้นใยชนิด MHC IIa ที่ลดลง ในการศึกษานี้ น้ำมันงาช่วยปรับปรุงการทำงานของกล้ามเนื้อ และเพิ่มการแสดงออกของยีน MHC IIa ซึ่งอาจเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยบรรเทาความผิดปกติของกล้ามเนื้อได้อย่างน้อยบางส่วน [2]น้ำมันงาอาจช่วยปรับปรุงภาวะกล้ามเนื้อผิดปกติของ quadriceps โดย ยับยั้งความเครียดออกซิเดชัน ของกล้ามเนื้อในระยะเริ่มของ OA การเพิ่มขึ้นของ ROS ทำให้เกิดการเสื่อมของกล้ามเนื้อได้ ด้วยการทำลายออกซิเดชันต่อโปรตีนหดตัวของกล้ามเนื้อ หรือการกระตุ้นระบบโปรตีโอไลติก (เช่น calpain และ ubiquitin pathway) การผลิต ROS มากเกินไปยัง เปลี่ยนชนิดเส้นใยและการทำงานของกล้ามเนื้อ ผ่านการควบคุมการแสดงออกของยีน MHC อีกทั้งการยับยั้งการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระภายในร่างกายในหนูทำให้ มวลกล้ามเนื้อลดลงและกล้ามเนื้ออ่อนแรง การศึกษานี้ชี้ว่า น้ำมันงาอาจ ลดอาการปวดข้อ โดยปรับปรุงความผิดปกติของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับความเครียดออกซิเดชัน [2]เซซามิน ถูกพบว่ามี ฤทธิ์ต้านการอักเสบ เป็นที่ทราบกันว่า TNF-α มีบทบาทสำคัญในโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ งานของ Khansai et al. พบว่า เซซามินลดการแสดงออก mRNA ของ IL-6 และ IL-1 ในเซลล์ fibroblast เยื่อบุข้อของมนุษย์ แสดงให้เห็นว่าเซซามิน ยับยั้งการเหนี่ยวนำไซโตไคน์ก่ออักเสบโดย TNF-α เมแทบอไลต์หลักของเซซามินในพลาสมาคนหลังรับประทานคือ sesamin catechol conjugates ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบผ่านกระบวนการในแมคโครฟาจชนิด J774.1 โดยยับยั้งการแสดงออกของ interferon-β และ iNOS อีกทั้งพบว่า SC1 ซึ่งเป็นเมแทบอไลต์ของเซซามินโดยเอนไซม์ CYP450 มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ แรงกว่าเซซามินเดิม [1] โรคหัวใจและหลอดเลือด & ไขมันในเลือด/ไลโปโปรตีนเป็นที่ทราบว่า ไขมันและไลโปโปรตีนมีบทบาทก่อโรคหัวใจและหลอดเลือด (CVD) กรดไขมันอิ่มตัว (SFA) ในนม เนย ชีส เนื้อวัว แกะ หมู ไก่ ปาล์มน้ำมัน และมะพร้าว ทำให้ LDL-C และ HDL-C สูงขึ้น โดย LDL-C สูงขึ้นจาก การกำจัด LDL ในตับลดลง และ การสร้าง LDL เพิ่มขึ้น เนื่องจาก ตัวรับ LDL ในตับลดลง น้ำมันงามี กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (MUFA) ที่สามารถ ลด LDL-C ได้โดย เพิ่มการทำงานของตัวรับ LDL ในตับ [3]แม้เมตาอะนาลิซิสส่วนใหญ่ ยังไม่ยืนยันชัด ว่า MUFA ลดเหตุการณ์ CVD ได้ แต่มี เมตาอะนาลิซิสหนึ่งฉบับ และการศึกษาเชิงสังเกตขนาดใหญ่สองงาน (Nurses’ Health Study และ Health Professionals Follow-Up Study) พบว่า MUFA จากพืช ให้ประโยชน์ ในขณะที่ MUFA จากแหล่งอื่น ไม่ช่วยปกป้อง ต่อเหตุการณ์ CVD [3] กลุ่มอาการเมตาบอลิก (Metabolic Syndrome)ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ไขมันเลือดผิดปกติ ความดันสูง และอ้วนลงพุง เป็นองค์ประกอบของกลุ่มอาการเมตาบอลิก ซึ่งเพิ่มความเสี่ยง เบาหวานชนิดที่ 2 และ CVD การอักเสบและ ความเครียดออกซิเดชัน มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดกลุ่มอาการนี้ ตัวชี้วัดเมตาบอลิกรวมถึง ไตรกลีเซอไรด์สูง (TG) HDL ต่ำ ความดันสูง โรคอ้วน ภาวะดื้อต่ออินซูลิน และความเครียดออกซิเดชันสูง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่เพิ่มการเสียชีวิตจาก CVD เบาหวาน และโรคหลอดเลือดสมองทั่วโลก กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFA) ช่วยเพิ่ม ความไวต่ออินซูลิน และมีผลดีหลายประการ MUFA ช่วย ลดภาวะดื้อต่ออินซูลินและ TG โดยส่งเสริมการ ออกซิเดชันของกรดไขมัน [4]น้ำมันงาอุดมด้วย MUFA และกรดไขมันโอเมกา-6 ชนิด PUFA (รวม ~83–90%) ได้แก่ กรดโอเลอิก และ กรดไลโนเลอิก ตามลำดับ ในน้ำมันงานอกจากนี้ยังมี โทโคฟีรอล เซซามิน เซซามอลิน โพลีฟีนอล ไฟโตสเตอรอล ฟลาโวนอยด์ และลิกแนนเซซามอล ที่มีฤทธิ์ ต้านการอักเสบและต้านการกลายพันธุ์ อีกทั้งการบริโภคน้ำมันงายัง ปรับความดันโลหิต อินซูลิน และระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร (FBG) ให้ดีขึ้น ในน้ำมันงานยังมี วิตามิน B6 แมกนีเซียม แคลเซียม ทองแดง เหล็ก และสังกะสี ซึ่งช่วย ลดความดันโลหิต ภาวะไขมันในเลือดสูง และการเกิดลิพิดเปอร์ออกซิเดชัน โดยเพิ่มทั้ง สารต้านอนุมูลอิสระชนิดเอนไซม์และไม่ใช่เอนไซม์ เซซามิน ยังมี ฤทธิ์ต้านหลอดเลือดแข็ง ช่วย ควบคุมความดันโลหิต [4]การทบทวนอย่างเป็นระบบและเมตาอะนาลิซิสล่าสุด รวม 12 การทดลองทางคลินิก แสดงหลักฐานว่า การบริโภคน้ำมันงาช่วยปรับตัวชี้วัดเมตาบอลิก โดยรวมแล้ว ลด FBG ได้ −3.268 mg/dL และ ลด malondialdehyde (MDA) ได้ −4.847 mg/dL เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม อีกทั้ง HbA1c (−2.057%) ความดันซิสโตลิก (−2.679 mmHg) ความดันไดแอสโตลิก (−1.981 mmHg) น้ำหนักตัว (−0.346 kg) และ BMI (−0.385 kg/m²) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากค่าเริ่มต้น อย่างไรก็ตาม ไม่พบผลลดระดับอินซูลินในซีรั่ม [4] เอกสารอ้างอิงWei P, Zhao F, Wang Z, Wang Q, Chai X, Hou G, Meng Q. Sesame (Sesamum indicum L.): A Comprehensive Review of Nutritional Value, Phytochemical Composition, Health Benefits, Development of Food, and Industrial Applications. Nutrients. 2022;14:1–26. https://www.mdpi.com/2072-6643/14/19/4079Hsu D, Chu P, Jou I. Enteral sesame oil therapeutically relieves disease severity in rat experimental osteoarthritis. Food Nutr Res. 2016;60:29807. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4816814/Feingold K. The Effect of Diet on Cardiovascular Disease and Lipid and Lipoprotein Levels. Endotext. 2021. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK570127/Atefi M, Entezari M, Vahedi H, Hassanzadeh A. The effects of sesame oil on metabolic biomarkers: a systematic review and meta-analysis of clinical trials. J Diabetes & Metab Disord. 2022;21:1065–80. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC9167273/