MCT Oil ช่วยเสริมสร้างพลังงานและสุขภาพ

MCT Oil ช่วยเสริมสร้างพลังงานและสุขภาพ

มิถุนายน 01, 2568

MCT Oil ช่วยเสริมสร้างพลังงานและสุขภาพในยุคที่การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและให้ประโยชน์ต่อร่างกายเป็นสิ่งที่หลายๆ คนให้ความสนใจ หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมในวงการสุขภาพในปัจจุบันคือ "MCT Oil" หรือ "น้ำมัน MCT" ซึ่งเป็นน้ำมันจากธรรมชาติที่มีคุณประโยชน์หลากหลายและได้รับการยอมรับในกลุ่มคนที่ใส่ใจสุขภาพและออกกำลังกาย MCT Oil คืออะไร ?MCT Oil หรือ น้ำมัน MCT เป็นน้ำมันที่พบได้ทั่วไปในอาหาร น้ำมัน MCT ได้รับการสกัดจากน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์ม โดยเฉพาะน้ำมันมะพร้าวที่เป็นแหล่งที่มี MCT ในปริมาณสูง น้ำมัน MCT นี้สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้รวดเร็วและนำไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยที่ซับซ้อนเหมือนน้ำมันชนิดอื่น ประโยชน์ของ MCT Oilน้ำมัน MCT เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ที่ต้องการเพิ่มพลังงานให้ร่างกายและช่วยในการลดน้ำหนัก เนื่องจากน้ำมันชนิดนี้มีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย รวมถึงการช่วยเสริมพลังงาน การเพิ่มสมรรถภาพในการออกกำลังกาย และช่วยในการควบคุมการเผาผลาญไขมัน ช่วยให้ร่างกายมีพลังงานที่รวดเร็ว เพราะกรดไขมันใน MCT จะถูกดูดซึมได้อย่างรวดเร็วและนำไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที ยังมีการศึกษาที่พบว่า MCT Oil ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกายและช่วยควบคุมระดับน้ำหนักให้เหมาะสม การทานน้ำมัน MCT จะช่วยให้ร่างกายดึงพลังงานจากไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกหนึ่งประโยชน์ที่น่าสนใจของ MCT Oil คือการช่วยบำรุงสมอง การใช้ MCT Oil สามารถช่วยเสริมสร้างพลังงานให้กับสมอง โดยเฉพาะในผู้ที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนักหรือทานอาหารคีโตเจนิค (Keto) ซึ่งมักจะพบว่าร่างกายต้องการพลังงานที่มาจากไขมันมากขึ้น น้ำมัน MCT จะช่วยให้สมองได้รับพลังงานที่จำเป็นโดยไม่ต้องพึ่งพาคาร์โบไฮเดรต ช่วยย่อยอาหาร เนื่องจากกรดไขมันใน MCT Oil ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารและเพิ่มการดูดซึมสารอาหารต่างๆ ทำให้ร่างกายสามารถใช้ประโยชน์จากอาหารได้อย่างเต็มที่ การใช้ MCT Oil ในชีวิตประจำวันMCT Oil สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในการปรุงอาหาร การทานในสมูทตี้ หรือการทานโดยตรง MCT Oil สามารถผสมกับกาแฟเพื่อเพิ่มพลังงานและเสริมสมรรถภาพในตอนเช้า การทานน้ำมัน MCT ร่วมกับเครื่องดื่มที่คุณชอบจะช่วยให้คุณได้รับพลังงานที่จำเป็นและพร้อมที่จะเริ่มต้นวันใหม่ สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก การใช้ MCT Oil ในการทานอาหารจะช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น เนื่องจากน้ำมัน MCT จะช่วยเพิ่มกระบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกายและลดความอยากอาหาร ทำให้คุณสามารถควบคุมปริมาณอาหารได้ดีขึ้น เลือก MCT Oil ที่มีคุณภาพหากคุณกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ MCT Oil ที่มีคุณภาพสูง เราขอแนะนำ Coconut Oil Plus MCT Oil ซึ่งเป็นน้ำมันที่ผสมผสานคุณสมบัติของน้ำมันมะพร้าวและ MCT Oil เข้าไว้ด้วยกัน ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสกัดจากน้ำมันมะพร้าวแท้และมีความบริสุทธิ์สูง โดยน้ำมันนี้มีกรดไขมัน MCT ที่ช่วยในการเสริมพลังงาน ลดน้ำหนัก และบำรุงสุขภาพของสมองอย่างมีประสิทธิภาพ ผลิตภัณฑ์ MCT Oil ที่มีคุณภาพสูง และต้องการเพิ่มพลังงานให้กับชีวิตประจำวันของคุณ  คือทางเลือกที่ดีในการดูแลสุขภาพและช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการลดน้ำหนักและเสริมสร้างพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณสมบัติเด่นของ Coconut Oil Plus MCT Oilได้รับการสกัดจากน้ำมันมะพร้าวแท้มีกรดไขมัน MCT ที่ช่วยเพิ่มพลังงานและกระบวนการเผาผลาญไขมันช่วยบำรุงสมองและเสริมสมรรถภาพในการทำงานของร่างกาย  

แอสต้าแซนธิน สุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระบำรุงดวงตาและผิว

แอสต้าแซนธิน สุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระบำรุงดวงตาและผิว

มีนาคม 24, 2568

    แอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) สารสีแดงส้มอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างมากในการต้านอนุมูลอิสระ จนทำให้แอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) ได้รับความสนใจอย่างมาก และถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านโภชนศาสตร์และเวชสำอาง แถมยังมีคุณประโยชน์ทางด้านการแพทย์มากมาย     ทำให้ในปี 2557 เกิดความต้องการแอสต้าแซนธินพุ่งสูงถึง 280 ตัน และในปัจจุบันยังคงมีอัตราการเติบโตอยู่ร้อยละ 7 นี่จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันความสามารถพิเศษของแอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) ในด้านคุณสมบัติต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี วันนี้เราจึงอยากพาทุกคนมาทำความรู้จัก และเล่าถึงคุณสมบัติที่แสนจะมหัศจรรย์ให้ทุกท่านได้ทราบกัน    แอสต้าแซนธิน  (Astaxanthin) พบมากในสัตว์ทะเลส่วนใหญ่ อย่าง ปลาแซลมอน ปลาเทราด์ เคย (Krill) กุ้ง กั้ง ปู แต่จากแหล่งธรรมชาติที่พบมากที่สุดคือ สาหร่ายขนาดเล็กสีแดง (Microalgae Haematococcus pluvialis) ซึ่ง แอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระร่างกายไม่สามารถสร้างเอง ต้องรับเพิ่มจากการบริโภคอาหารหรืออาหารเสริมเข้าไป     ร่างกายควรได้รับ Astaxanthin วันละ 4-12 มิลลิกรัม (pobpad.com)    แอสต้าแซนธิน มีโครงสร้างที่พิเศษเป็นเอกลักษณ์ ทั้งในส่วนที่ละลายในน้ำ และละลายในน้ำมัน จึงสามารถปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้ ทั้งภายในและภายนอก และยังมีส่วนช่วยให้ร่างกายดูดซึมแอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) ได้ดีกว่ากลุ่มแคโรทีนอยด์ทั่วไป และด้วยสาเหตุนี้ทำให้แอสต้าแซนธินมีคุณสมบัติเหนือกว่าสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่น ๆ จนได้รับฉายาว่าเป็น “Nature’s Most Powerful Antioxidant”    นอกจากแอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) จะมีบทบาทในการต้านอนุมูลอิสระที่แรง และดีเยี่ยมแล้ว มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้แรงกว่าวิตามิน ซีธรรมดา 6,000 เท่าCo Q10 800 เท่าวิตามิน อี 550 เท่าGreen tea catechins 550 เท่าAlpha lipoic acid (ALA) 75 เท่าเบต้า แคโรทีน 40 เท่าสารสกัดจากเมล็ดองุ่น 17 เท่า    ซึ่ง สารต้านอนุมูลอิสระ มี คุณประโยชน์สำคัญต่าง ๆ มากมายอย่างลดภาวะการอักเสบในร่างกาย และเสริมระบบภูมิคุ้มกันช่วยป้องกันตาแห้ง ตาอ่อนล้า ลดอาการเจ็บตา ช่วยลดปัญหาด้านการมองเห็น ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังดวงตา ป้องกัน และฟื้นฟูจอประสาทตาที่เสื่อม ซึ่งพบมากในผู้สูงอายุ และ ผู้ป่วยเบาหวาน ช่วยป้องกันดวงตาจากรังสีอัลตร้าไวโอเลตปกป้องโครงสร้างผิว จากการถูกทำลายโดยแสงแดดและรังสี อัลตราไวโอเลต ช่วยกระชับรูขุมขน ลดเลือนริ้วรอย คืนความชุ่มชื้น และความอ่อนเยาว์ช่วยเสริมการทำงานของเซลล์สื่อประสาทในสมอง เพิ่มการจดจำ และลดอาการหลงลืมลดระดับความดันโลหิต เพิ่มการไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดฝอย ช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ในร่างกายป้องกันโรคหัวใจ โดยป้องกันการอักเสบภายในหลอดเลือด ซึ่งทางการแพทย์ชี้ว่าเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจในปัจจุบัน    ด้วยคุณสมบัติมากมายที่มีที่แตกต่างจากดสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น ๆ ทำให้แอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) โด่งดังด้วยงานวิจัยมากมาย ถือได้ว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระแห่งยุคที่มีประสิทธิภาพสูง และปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง    ถือว่าแอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) เหมาะกับการรับประทานเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อช่วยดูแลสุขภาพ แต่ควรทานอาหารหลักที่มีคุณค่าทางโภชนาการ พักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย เพื่อช่วยเสริมสุขภาพดี และห่างไกลจากโรคร้ายได้มากยิ่งขึ้นแอสต้าแซนธิน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในเรื่องการดูแลทุกๆเซลล์ในร่างกายให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติสาหร่ายฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิสคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่แรงกว่า vit c 6000เท่าช่วยให้ผิวคงความอ่อนวัย ลดริ้วรอย ความหย่อนคล้อย และจุดด่างดำช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดไม่ให้มาทำร้ายคอลลาเจน ในชั้นหนังแท้ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันและฟื้นฟูจอตาที่เสื่อมช่วยป้องกันดวงตาจากรังสีอัลตร้าไวโอเลตช่วยป้องกันการเสื่อมของไตและหลอดเลือดในผู้ป่วยเบาหวานช่วยบำรุงหัวใจช่วยบรรเทาอาการอักเสบช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค โดยเฉพาะผู้ป่วยภูมิแพ้ตัวเอง ภูมิต้านทานต่ำ และการติดเชื้อไวรัสเรื้อรังบทความอ้างอิงAstaxanthin, the most powerful antioxidant found in nature จากบล็อก https://www.yamamotonutrition.com/int/blog/post/astaxanthin-the-most-powerful-antioxidant-found-in-nature-a1754 Haematococcus pluvialis - Wikipedia จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Haematococcus_pluvialis แอสต้าแซนธิน จาก https://www.thpherbal.com/product/22814-25764/แอสต้าแซนธิน Astaxanthin (แอสตาแซนทิน) - พบแพทย์ (pobpad.com) จาก https://www.pobpad.com/astaxanthin

!!น้ำมันมะพร้าว คุณค่ามหัศจรรย์จากธรรมชาติ!!

!!น้ำมันมะพร้าว คุณค่ามหัศจรรย์จากธรรมชาติ!!

มีนาคม 23, 2568

น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil)     เป็นหนึ่งในสารสกัดที่ได้รับการยอมรับ และถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย อีกทั้งยังมีการนำมาใช้ในการรักษาโรค อย่าง การรักษาแผลไหม้ ท้องผูก ลำไส้อักเสบ ฆ่าเชื้อในช่องปาก เป็นต้น     น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil) เป็นน้ำมันที่ได้จากการสกัดส่วนของเนื้อมะพร้าว โดยแยกเอาเฉพาะส่วนของน้ำมันออกมา โดยแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่น้ำมันมะพร้าว (Refined Bleaching Deodorizing Coconut Oil: RBD) เป็นน้ำมันที่ได้จากเนื้อมะพร้าวห้าวหรือเนื้อมะพร้าวแห้ง (Copra) ด้วยกรรมวิธีการสกัดด้วยตัวทำละลาย โดยผ่านความร้อนสูง 3 กระบวนการ ได้แก่ การทำให้บริสุทธิ์ (Refining) การฟอกสี (Bleaching) และการกำจัดกลิ่น (Deodorization) ทำให้ได้น้ำมันมะพร้าวที่มีสีเหลืองอ่อน ปราศจากกลิ่น รส และมีกรดไขมันอิสระไม่เกินร้อยละ 0.1 แต่วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวจะถูกกำจัดออกไปน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ หรือ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น (Virgin Coconut Oil: VCO) เป็นน้ำมันมะพร้าวที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในตอนนี้ โดยมีกรรมวิธีการสกัดโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ใช้ความร้อนสูงและไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปทางเคมี มีสีใสเหมือนน้ำ มีวิตามินอี ไม่ผ่านกระบวนการเติมออกซิเจน มีค่าเบอร์ออกไซด์ กรดไขมันต่ำ และมีกลิ่นมะพร้าวอ่อน ๆ    น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวเป็นองค์ประกอบหลัก (มากกว่า 90%จากปริมาณกรดไขมันทั้งหมด) ซึ่งกรดไขมันอิ่มตัวที่ได้จากน้ำมันมะพร้าว เป็นกรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลสายขนาดปานกลาง (Medium chain fatty acid) ที่มีมากถึง 63% เช่น กรดลอริก (Lauric acid) ซึ่งเมื่อรับประทานและถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะถูกเผาผลาญได้ดี สะสมในเนื้อเยื่อไขมัน (Adipose tissue) และกรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลยาว (Long chain fatty acid) 30% ที่เหลือเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวสายยาว 7% ซึ่งเป็นกลุ่มกรดไขมันจำเป็นที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งแตกต่างจากกลุ่ม Long chain fatty acids ที่พบใน นม เนย ชีส และไขมันจากสัตว์ทุกชนิด ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพซึ่งควรจะหลีกเลี่ยง    และด้วยโครงสร้างที่แตกต่างของกรดไขมันจากน้ำมันมะพร้าว จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก ทำให้เมื่อเรารับประทานน้ำมันมะพร้าว ร่างกายจะดูดซึมได้ทันที และจะส่งผ่านไปที่ตับ จากนั้นตับจำทำการเปลี่ยนกรดไขมันเหล่านี้เป็นสารคีโตน ซึ่งสารคีโตนนี้เป็นสารที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของสมอง ทำให้ช่วยฟื้นฟูความจำ ป้องกันโรคอัลไซเมอร์     อีกทั้งกรดไขมันจากน้ำมันมะพร้าวจะช่วยให้ต่อมไทรอยด์ทำงานได้ดีขึ้น จึงมีผลให้ระบบเผาผลาญไขมันโดยเฉพาะไขมันช่องท้องทำงานได้ดีมากขึ้น จึงช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน รวมถึงป้องกันโรคความดันโลหิตสูงได้     อกจากนี้ผลพลอยได้จากอัตราการเผาผลาญที่เพิ่มขึ้น ไขมันและน้ำตาลที่สะสมในร่างกายถูกนำไปเผาผลาญเป็นพลังงาน ทำให้ช่วยลดระดับน้ำตาล และลดอัตราการเกิดโรคเบาหวานได้     อีกทั้งน้ำมันมะพร้าวยังช่วยบำรุงผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น บำรุงผม ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราอีกด้วย    อย่างไรก็ตาม การรับประทาน "น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น" ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน มีการบรรจุจัดเก็บที่ดี เพื่อคงคุณภาพของสารสกัด และลดการปนเปื้อนก่อนที่เราจะรับประทานเข้าสู่ร่างกาย และการรับประทานน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นเพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก แนะนำให้ทานควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารให้เหมาะสมในแต่ละวัน และออกกำกายอย่างสม่ำเสมอ

!!ทำไมถึงต้องทานแคลเซียมตั้งแต่อายุยังน้อย!!

!!ทำไมถึงต้องทานแคลเซียมตั้งแต่อายุยังน้อย!!

มีนาคม 22, 2568

ร่างกายของเราในช่วงอายุ 30-35 ปี กระดูกจะถูกสร้างและสะสมสูงสุด แต่หลังจากนั้นอัตราของการสลายตัวจะมีมากกว่าการสร้าง นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงต้องทานแคลเซียมตั้งแต่อายุน้อย ดังนั้นช่วงอายุก่อนที่จะก้าวเข้าอายุ 30-35 ปี จึงเป็นเวลาที่ดี ที่เราจะทานอาหารที่อุดไปด้วยแคลเซียม เพื่อสะสมมวลกระดูก บำรุงกระดูกและฟันชะลอการสลายของกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน หรือความเสี่ยงโรคร้านต่าง ๆ หลังอายุ 35 ปีจากการศึกษาของ The American College of Nutrition พบว่า แคลเซียม ไม่เพียงแค่ป้องกันโรคทางกระดูกให้กับเราเท่านั้น แต่สามารถช่วยป้องกัน และบรรเทาอาการจากโรคต่าง ๆ อย่าง สามารถลดอาการไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Syndrome) เช่น อาการปวดหัว หงุดหงิดง่าย อยากอาหารท้องอืด ไม่สบายท้องได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ และอาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่อีกด้วยปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละช่วงอายุอายุ < 40 ปี                                         800 mg / วันอายุ 50 ปี                                            1000 mg / วันผู้หญิงตั้งครรภ์ และอายุ > 60ปี       1200 mg / วันนอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ส่งผลให้ร่างกายขาดแคลเซียม ได้แก่ กินแคลเซียมไม่พอ ไม่ออกกำลังกาย ดื่มกาแฟเกินขนาด ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ขาดฮอร์โมน Estrogen ก่อนวัยหมดประจำเดือน เช่น ต้องผ่าตัดรังไข่ 2 ข้างออกมีโครงร่างเล็ก มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน และเคยมีประวัติกระดูกหักมาก่อน แต่อย่างไรก็ตามควรวางแผนในการรับประทานแคลเซียมไปควบคู่กับการออกกำลังกาย และลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนจะดีที่สุด

แสงสีฟ้า ภัยร้ายของยุคที่ชีวิตติดจอ!!!

แสงสีฟ้า ภัยร้ายของยุคที่ชีวิตติดจอ!!!

มีนาคม 21, 2568

ในทุกวันนี้ชีวิตประจำวันของเราส่วนใหญ่มักอยู่กับหน้าจอคอม หน้าจอโทรศัพท์ แท็บแลต และสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ดวงตาจะได้รับแสงสีฟ้าจากอุปกรณ์เหล่านี้ไปด้วย ซึ่งเจ้าแสงสีฟ้านี่แหละที่เป็นภัยเงียบที่เข้ามามีผลต่อดวงตาเราโดยตรง 3 ภาวะเสี่ยงที่เกิดจากแสงสีฟ้าได้แก่ ภาวะตาล้า (Digital Eye Strain) มีอาการล้า คัน เคือง ปวด แสบตา มองภาพไม่ชัด ภาพซ้อน ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา น้ำตาไหล ตาแห้ง ดวงตาไวต่อแสงมากขึ้นภาวะเซลล์ประสาทตาตาย เมื่อดวงตาได้รับแสงสีฟ้า จะส่งผลให้เซลล์ดวงตาเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ค่าสายตาผิดปกติเร็วขึ้น เนื่องจากคลื่นแสงพลังงานสูงเหนี่ยวนำให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระ (Free Radical) ในเซลล์ของจอประสาทตาจอประสาทตาเสื่อม สารเคมีช่วยการมองเห็นในจอตาที่เรียกว่าเรตินอล (Retinal) ทำปฏิกิริยากับแสงสีฟ้า ทำให้เกิดโมเลกุลมีพิษทำลายเยื่อหุ้มเซลล์รับแสงจนเซลล์ตายลง ส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรเพราะจอตาไม่สามารถส่งสัญญาณสื่อประสาทไปยังสมองได้โรคตาแห้ง (Dry Eye) ทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคือง หรือแสบตา ในบางรายอาจพบอาการตาแดงร่วมด้วย อาการเหล่านี้มักพบในกลุ่มคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ และอยู่ในห้องปรับอากาศตลอดเวลา คนที่ผ่าตัดหรือทำเลเซอร์ตา และหากปล่อยให้ตาแห้งเป็นเวลานาน ๆ อาจส่งผลให้เกิดภาวะตาอักเสบ และเสี่ยงต่อภาวะดวงตาติดเชื้อ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาการมองเห็นต่อไปในอนาคตโรคต้อกระจก (Cataract) มีอาการเห็นภาพมัว มีฝ้าขาว ซึ่งแต่ละคนจะมีระดับความรุนแรงของอาการไม่เหมือนกันวิธีการดูแลดวงตาจากแสงสีฟ้า ได้แก่ ลดความสว่างของหน้าจออุปกรณ์ต่าง ๆติดฟิล์มที่หน้าจออุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยกรองแสงสีฟ้าพักสายตาทุก ๆ 30 นาที โดยหลับตาพักประมาณ 1 นาที มองไปไกลออกไป 30 วินาที และหาผ้าชุปน้ำอุ่น ๆ ประคบไว้ที่ดวงตาประมาณ 1-2 นาทีสวมแว่นกรองรังสีจากหน้าจออุปกรณ์ต่าง ๆกระพริบตา 1-2 ครั้งต่อ 10 วินาทีหาวิตามินเสริมเพื่อดูแลดวงตา ด้วยสารสกัดจากบิลเบอร์รี่ พร้อมเสริมการทำงานของดวงตาด้วยลูทีนบิลเบอร์รี่ (Bilberry) เป็นผลไม้สีน้ำเงินม่วง ตระกูลเดียวกับเบอร์รีทั้งหลาย และมีนักวิจัย ไมเคิล ที เมอร์เรย์ (Michael T. Murray) ได้กล่าวว่าสาร แอนโธไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides)สารสีน้ำเงินหรือม่วงที่พบมากในบิลเบอร์รี มีคุณสมบัติสำคัญคือสารต้านอนุมูลอิสระที่มีบทบาทต่อดวงตา มีผลต่อเซลล์เยื่อบุผิวเรตินาในการมองเห็น และลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา ช่วยป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก และป้องกันจอประสาทตาเสื่อม อีกทั้งยังช่วยสร้างความแข็งแรงของคอลลาเจนในเส้นเลือดฝอยที่ตาและเชื่อมต่อเนื้อเยื่อดีขึ้น ลดอาการตาแห้ง ตาล้า และมีส่วนช่วยบรรเทาอาการตาบอดกลางคืน ทำให้การมองเห็นในที่สลัวดีขึ้น ควบคุมการทำงานของเรตินาจอรับแสงป้องกันโรคตาบอดแสง และการมองไม่เห็นในตอนกลางวันลูทีน (Lutein) เป็นสารอาหารในกลุ่มที่เรียกว่าแซนโทฟิลส์ (xanthophylls) มีลักษณะเป็นสารสีเหลือง อยู่ในจำพวกแคโรทีนอยด์ (carotenoids) เป็นสารอาหารที่ช่วยชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา ภายในจอประสาทตาจะมีร่องเล็ก ๆ ที่มีเซลล์คอยรับภาพจากจอประสาทตา เป็นจุดที่แสงตกกระทบ และทำให้สามารถมองเห็นภาพที่ชัดเจนในแต่ละวันได้ ซึ่งบริเวณนี้จะพบลูทีนอยู่จำนวนมาก โดยจะพบได้ตรงชั้นเนื้อเยื่อที่หล่อเลี้ยงเส้นประสาท ซึ่งจุดที่สำคัญต่อการมองเห็นเป้นอย่างมาก หากบริเวณดังกล่าวเสื่อม หรือสูญเสียหน้าที่ จะทำให้สูญเสียการมองเห็น หรือตาบอดได้โดยลูทีน จะทำหน้าที่สำคัญในการกรองแสงสี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในดวงตา อีกทั้งยังเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องจอประสาทตา โดยลูทีนจะทำงานร่วมกับกรดไขมันดีเอชเอ และเอเอ ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านการมองเห็นของเด็กอีกด้วย

สารสกัดน้ำมันงา มหัศจรรย์จากธัญพืช

สารสกัดน้ำมันงา มหัศจรรย์จากธัญพืช

มีนาคม 19, 2568

“งา” พืชเมล็ดจิ๋วที่ทุกคนรู้จักกันดี เป็นเมล็ดพืชเมล็ดจิ๋วแต่แจ๋วแถมยังดีต่อสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก เช่น ให้พลังงาน 697 กิโลแคลอรี่ ให้น้ำ 3.0 กรัม ให้โปรตีน 26.1 กรัม ไขมันดี 64.2 กรัม ให้คาร์โบไฮเดตร 64.2 กรัม และให้แคลเซียม 90 มิลลิกรัม ทั้งยังอุดมไปด้วย โอเมก้า 3 โอเมก้า 6 และโอเมก้า 9 จึงทำให้งามักถูกนำมาใช้ประโยชน์ทั้งทางด้านสุขภาพและความงามเป็นจำนวนมากความมหัศจรรย์ของธัญพืชเมล็ดจิ๋ว “งา”เสริมความแข็งแรงของกระดูก สารสกัดน้ำมันงา เป็นแหล่งรวมแร่ธาตุหลายชนิดที่ล้วนดีต่อสุขภาพกระดูก เช่น ซิงค์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น โดยทางข้อมูลทางโภชนาการได้ระบุว่า งา มีปริมาณแคลเซียมมากกว่านมวัวถึง 6 เท่า และมีมากกว่าผักหลายๆ ชนิดถึง 20 เท่า ทำให้เมื่อรับประทานน้ำมันงา เป็นประจำสม่ำเสมอจึงช่วยเสริมการเติบโตของกระดูก และเสริมสร้างความแข็งแรงพร้อมซ่อมแซมกระดูกและกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บ ลดอัตราเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน และป้องกันข้อเข่าเสื่อมลดอาการอักเสบ ในน้ำมันงา เปี่ยมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญอย่างธาตุคอปเปอร์ ที่มีฤทธิ์ในการต้านอาการอักเสบ อีกทั้งยังมีสารฟีนอลจำนวนมากที่เป็นสารในกลุ่มลิกแนนที่พบได้ในเฉพาะสารสกัดน้ำมันงา อันได้แก่ สารเซซามิน สารเซซามอล และสารเซซาโมลิน ซึ่งมีงานวิจัยเกี่ยวกับสารเซซามินในเมล็ดงาถึงผลในการรักษาโรคข้อเสื่อม พบว่า มีฤทธิ์ในการยับยั้งสารที่เข้าไปทำลายกระดูกอ่อนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเจ้าสารเซซามินจากน้ำมันงาจะเข้าไปเพิ่มความหนาของกระดูกอ่อน เพื่อลดการสูญเสีย และเพิ่มปริมาณการสร้างคอลลาเจน (Collagen) และโปรทีโอไกลแคน (Proteoglycans) ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างกระดูกอ่อนลดความเสี่ยงเกิดโรคมะเร็ง น้ำมันงา อุดมไปด้วยแร่ธาตุแมกนีเซียมที่เป็นแหล่งของไฟเดต (Phytate) ที่ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่จะนำพาให้เซลล์ในร่างกายเกิดโรคมะเร็งและโรคเรื้อรังร้ายแรงต่าง ๆลดอาการนอนไม่หลับ ในสารสกัดน้ำมันงา มีวิตามินบี ที่จะช่วยคนที่กำลังประสบปัญหา “นอนไม่หลับ” เนื่องจากวิตามินบีในสารสกัดน้ำมันงา มีส่วนช่วยให้ระบบประสาททำงานดีขึ้น ช่วยบำรุงระบบประสาท ลดอาการตึงเครียดของสมอง จึงช่วยให้นอนหลับสบายและหลับลึกขึ้น ลดระดับคอเลสเตอรอล ในกระบวนการสกัดน้ำมันงา จะได้ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดที่ดีต่อร่างกาย อย่าง โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันที่เกาะตามหลอดเลือด ที่เป็นสาเหตุของโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจอีกด้วยทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในความมหัศจรรย์จากธัญพืชเมล็ดจิ๋วอย่าง “งา”เท่านั้น ยังมีความมหัศจรรย์อีกมากมายที่เฉพาะตัวของเจ้าสารสกัดน้ำมันงาสามารถทำได้ แต่ด้วยองค์ประกอบหลักของสารสกัดน้ำมันงาให้พลังงานที่ค่อนข้างสูง จึงควรรับประทานวันละไม่เกิน 15 กรัม (1,000 มิลลิกรัม = 1 กรัม) และควรเพิ่มความพิถีพิถันในการเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เป็นสารสกัดจากงาบริสุทธิ์ที่แท้จริง เพราะมีบางแหล่งผลิตที่ทำการแต่งกลิ่นงาเพื่อดึงดูดความน่าสนใจ และควรเลือกแหล่งผลิตที่มีความน่าเชื่อถือ มีมาตรฐานรับรองถูกต้องเพื่อเป็นการการันตีถึงคุณค่าทางโภชนาการที่เราจะได้รับจากสารสกัดน้ำงา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อร่างกายที่เราควรได้รับอย่างเต็มที่แหล่งอ้างอิงโดย 1. บทความ, “งา” ธัญพืชเมล็ดจิ๋วแต่แจ๋ว, มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์บทความ, งา ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน, มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์งา ธัญพืชเพื่อสุขภาพ, กัษมาพร ปัญต๊ะบุตร, ฝ่ายกระบวนการผลิตและแปรรูปสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เรียงข้อมูลโดย ไทย เฮลท์ โปรดักส์ (THP)

ซิงค์วิธีการใช้ซิงค์ในการรักษาสิว

ซิงค์วิธีการใช้ซิงค์ในการรักษาสิว

มีนาคม 18, 2568

ซิงค์ ( ZINC ) หรือสังกะสี เป็นแร่ธาตุในกลุ่มธาตุปริมาณน้อย หรือ Trace Minerals เป็นแร่ธาตุที่ใช้ในกระบวนการของร่างกายเพื่อนำไปใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาร่วมกับเอนไซม์ต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อการทำงานของอวัยวะ เช่น การสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ การทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกาย การรักษาแผลจากสิวอักเสบ เป็นต้น หากได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอร่างกาย  อาจส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายทำงานไม่เป็นปกติ สังกะสีพบได้ในทุกๆ เซลล์ของร่างกายและยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของเอนไซม์กว่า 100 ชนิด อีกทั้ง ยังมีความจำเป็นต่อสุขภาพของระบบภูมิคุ้มกันโดยรวมช่วยในการรักษาบาดแผลให้หายเร็วขึ้นและยังช่วยให้พัฒนาการในวัยเด็กและหนุ่มสาวเป็นไปอย่างปกติซิงค์สามารถรักษาสิวได้ จริงๆหรือไม่ในความเป็นจริงแล้วซิงค์หรือสังกะสีไม่ได้มีผลในการรักษาสิวโดยตรง เพียงแต่สังกะสีสามารถช่วยรักษาสมดุลของต่อมไขมันและปริมาณไขมันที่ผลิตออกมาบนผิวหนังได้ จึงสามารถช่วยลดการอุดตันของไขมันที่เป็นสาเหตุของสิวอีกทั้งสังกะสียังมีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆของผิวหนังทำให้แผลหายเร็วขึ้นและการอักเสบของแผลสิว ก็ลดน้อยลง ดังนั้นซิงค์จึงช่วยทำให้รู้สึกว่าแผลสิวหายเร็ว รอยดำรอยแดงก็จางเร็วขึ้นมากที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ควรรับประทาน ซิงค์ (Zinc) พร้อมกับนมหรืออาหารที่มีแคลเซียมสูง เพราะแคลเซียมจะเป็นตัวขัดขวางการดูดซึมของ ซิงค์ แต่ถ้าหากรับประทานตอนท้องว่างแล้วรู้สึกไม่สบายท้อง ก็อาจทานพร้อมกับอาหารก็ได้แต่อาจได้รับผลจากยาไม่ดีเท่าที่ควรเพื่อให้สามารถรับประทานซิงค์ ได้โดยไม่เกิดปัญหา นอกจากนี้ซิงค์ ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือนหลังจากที่รับประทานเข้าไปแล้ว จึงจะให้ผลที่ชัดเจนโดยทั่วไปร่างกายได้รับแร่ธาตุซิงค์จากการรับประทานอาหารเป็นปกติอยู่แล้วแต่อาจพบภาวะการขาดซิงค์ได้ในบางคนซึ่งมีปัญหาในเรื่องระบบการการดูดซึมสารอาหารต่างๆ ภายในร่างกายโดยปริมาณความต้องการสังกะสีของแต่ละคนจะแตกต่างกันไปตามเพศ วัยและช่วงอายุ แต่โดยปกติแล้วไม่ควรรับประทานเกิน 40 mg./วัน เพราะหากร่างกายได้รับสังกะสีในปริมาณที่มากเกินไปอาจจะไปรบกวนการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายได้ และอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย เป็นต้นดังนั้นการรับประทานซิงค์ติดต่อกันเป็นเวลานานควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ เพราะถึงแม้จะช่วยรักษาสิว ทั้งสิวอักเสบ และแผลจากสิวอักเสบ ก็ตาม แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงถ้าทานมากเกินไป

สมองล้า ... Ginkgo Biloba เคล็ดลับเพิ่มพลัง บำรุงสมอง

สมองล้า ... Ginkgo Biloba เคล็ดลับเพิ่มพลัง บำรุงสมอง

มีนาคม 16, 2568

จากภาวะทางสังคมที่มีการแข่งขันที่สูงขึ้น ปัจจัยมากมายรอบตัวที่เข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิต จึงส่งผลให้เกิดความเครียด แต่เมื่อชีวิตเรายังคงต้องดำเนินต่อไปในทุก ๆ วัน ทำให้เกิดเป็นความเครียดสะสมขึ้นเรื่อย ๆ จนส่งผลให้ “สมองล้า” (Brain fog syndrome) การทำงานของสมองในส่วนของความจำก็จะทำงานลดลง เริ่มมีอาการ เบลอ ๆ รู้สึกไม่สดชื่น มึนหัว พอหนักขึ้นก็เริ่ม นอนไม่หลับ ปวดหัวบ่อยขึ้นและเรื้อรัง สายตาพร่ามัว ความจำระยะสั้นแย่ลง ขี้หลงขี้ลืม และหงุดหงิดง่ายขึ้น หากยังปล่อยไว้ไม่ได้รักษาก็จะเสี่ยงที่จะเกิดโรคความจำเสื่อมก่อนวัย โรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์กินสันได้อาการ “สมองล้า” เป็นภาวะหนึ่งที่เกิดขึ้นกับสมอง มีผลมาจากความเครียดที่สะสมจากการใช้งานสมองอย่างหนักเป็นระยะเวลานาน ส่วนหนึ่งเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันอย่าง การพักผ่อนน้อย การนอนดึก การทำงานโต้รุ่ง การเร่งทำงานให้เสร็จทันเวลา หรือแม้กระทั่งการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ พฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งกระตุ้นให้สารเคมีในสมอง หรือที่เรียกว่าสารสื่อประสาท ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาททำงานลดลงและเสียสมดุล สมองจึงทำงานได้น้อยลงและเกิดเป็นอาการต่างตามที่กล่าวข้างต้น วันนี้เราจึงมาแนะนำตัวช่วยดี ๆ จากธรรมชาติ ที่ปลอดภัยกับร่างกายมาเป็นตัวเสริม และเพิ่มพลังสมองอย่าง “แปะก๊วย” มาฝาก“แปะก๊วย” (Ginkgo biloba L.) หรือ “สารสกัดจากใบแปะก๊วย” พืชใบสีเขียวที่มีสรรพคุณมากมายหลายด้าน มีสารสำคัญหลักอย่าง สารเทอร์พีนอยด์ (Terpinoidal compounds) ได้แก่ ไบโลบาไลด์ (Bilobalide) ไดเทอร์ปีนแลคโตน 5 ชนิด ที่รวมตัวกันเรียก กิงโกไลต์ (Ginkgolides) และสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) จึงทำให้สารสกัดจากใบแปะก๊วย มีคุณสมบัติสำคัญมากมายที่ไม่ใช่แค่เพียงเพิ่มพลังและบำรุงสมอง แต่ยังสามารถช่วยฟื้นฟูระบบภายในของร่างกายให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนได้รับการยอมรับและในบางประเทศมีการประกาศให้แปะก๊วยเป็นตัวยาที่แพทย์แผนปัจจุบันมีการสั่งจ่ายในการรักษา อีกทั้งยังมีศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารสกัดใบแปะก๊วยถึงผลในการรักษามากมาย อย่างฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant activity) ที่มีการศึกษาฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากใบแปะก๊วย พบว่า สามารถช่วยลดปริมาณการผลิตอนุมูลอิสระ ป้องกัน LDL จากภาวะเครียด ป้องกันเม็ดเลือดแดงจาก EGB-761 สารที่ทำลายเซลล์ประสาท และยังป้องกันจอตา (Retina) จากความเสื่อมของเซลล์ประสาทฤทธิ์การไหลเวียนของโลหิตไปยังสมอง (Cerebral blood flow increase) จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่ได้รับสารสกัดใบแปะก๊วยขนาด 120-300 มิลลิกรัม/คน/วัน เป็นเวลา 4-12 สัปดาห์ มีผลเพิ่มปริมาณโลหิตที่ไปเลี้ยงสมอง ทำให้อาการต่าง ๆ ที่เกิดจากโลหิตไปเลี้ยงสองไม่เพียงพอดีขึ้นภายใน 4 สัปดาห์ และหลังจากรับประทานต่อเนื่อง 12 สัปดาห์ อาการดีขึ้นชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก และจากการศึกษากับกลุ่มผู้ป่วยโลหิตไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จำนวน 90 คน โดยให้รับประทานสารสกัดใบแปะก๊วยขนาด 150 มิลลิกรัม/วัน  เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่า ผู้ป่วยมีความจำดีขึ้น ระยะเวลาของความตั้งใจใจการทำงานเพิ่มขึ้น ความสามารถในการทำงานต่าง ๆ ที่ต้องใช้การปรับตัว และการตัดสินใจที่รวดเร็วดีขึ้นฤทธิ์ที่ช่วยให้ความจำดีขึ้น (Memory enhancement effect) โดยการศึกษาฤทธิ์ที่ช่วยให้ความจำดีขึ้นในผู้ป่วยสูงอายุ 18 คน ที่มีภาวะความจำเสื่อมจากความชรา พบว่า เมื่อผู้ป่วยรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วยขนาด 320 มิลลิกรัม/คน สามารถช่วยให้ความจำของผู้ป่วยดีขึ้นนอกจากนี้ ยังมีการศึกษาอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น การศึกษาฤทธิ์กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต การศึกษาฤทธิ์ในการเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ และการศึกษาฤทธิ์เพิ่มการมองเห็น ฯลฯ มีผลไปในทิศทางเดียวกัน คือมีผลดีขึ้นเพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อีกทั้งสารสกัดจากใบแปะก๊วยยังมีสารสำคัญอย่าง เอเชียติโคไซค์ (Asiaticoside) เอเชียติคแอซิค (Aisatic Acid) และบลามิโนไซด์ (Brahimnoside) ที่ช่วยเข้าไปยับยั้งการสร้างสารที่ทำลายเซลล์สมอง ลดความเครียดของสมองจากการทำงานหนัก และช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานของกำลังสมองอีกด้วยการดูแลรักษาฟื้นฟูสมองด้วยการปรับการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาจยังไม่เพียงพอต่อการรักษาฟื้นฟู เนื่องจากสิ่งต่าง ๆ ภายนอกไม่ว่าจะเป็น คลื่นแม่เหล็กจาก คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ที่เข้าไปรบกวนสารสื่อประสาท ความเครียดที่เกิดโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว การนอนดึก การนอนไม่เพียงพอ การที่ขาดการออกกำลังกาย ที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองลดลง การที่ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ และการที่ร่างกายได้รับสารพิษจากมลภวะ สารเคมีจากอาหาร หรือสิ่งปนเปื้อนที่ปนมากับอากาศ ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่มีผลกระทบที่มีผลต่อสมองที่ยากจะหลีกเลี่ยง ได้การเพิ่มตัวช่วยเข้ามาช่วยเพิ่มพลังสมองจึงสำคัญอย่างมากเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาวแหล่งอ้างอิงโดยบทความวิชาการ, “แปะก๊วย” สมุนไพรรักษาความจำเสื่อม, พิชานันท์ ลีแก้ว, ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลบทความสุขภาพน่ารู้, แปะก๊วยช่วยยับยั้งความเสื่อมของสมองและต้านอนุมูลอิสระ, ภก.สุดเหมือนฝัน ธนธัญญา, นิตรยาสารหมอชาวบ้าน เล่ม304รายงานความก้าวหน้าครั้งที่ 3, บทที่ 56 รายละเอียดข้อมูลยาทางชีวภาพแปะก๊วย (Ginkgo), โครงการเพิ่มศักยภาพฐานข้อมูลอุตสาหกรรมยาทางชีวภาพและเชื้อเพลิงชีวภาพ, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือบทความผลงานทางวิชาการ, Ginkgo Biloba, ภก.พีรวัฒน์ จินาทองไทย, ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ, คณะเภสัชศาสตร์, ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นเรียงข้อมูลโดย ไทย เฮลท์ โปรดักส์ (THP)

สารสกัดจากทับทิม

สารสกัดจากทับทิม

มีนาคม 14, 2568

ทำไม? สารสกัดจากทับทิมจึงช่วยชะลอวัย ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสเชื่อว่าภาพความทรงจำวัยเด็กของใครหลาย ๆ คน มักจะต้องเคยเห็นคนในครอบครัวสรรหาน้ำผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูง ๆ มาดื่มเป็นประจำ หรือเอาง่าย ๆ ไม่ว่าสื่อโทรทัศน์โฆษณาน้ำผลไม้ชนิดไหนต้องตามล่าหาสิ่งนั้นมาจงได้ แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่ได้ดื่มไปเหล่านั้นให้วิตามินสูงจริงหรือเปล่า แล้วส่งผลอย่างไรกับร่างกายของเราบ้าง วันนี้เรามีคำตอบมาฝากทุกคนกันทับทิม ผลไม้สีแดงสด ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ แถมยังเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอี และวิตามินซี ในปริมาณสูง ซึ่งมีประโยชน์ต่อผิวพรรณเป็นอย่างมาก งั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าเจ้าสารสกัดทับทิมนี้สามารถช่วยในด้านไหนได้บ้างฤทธิ์ต่อการสร้างเม็ดสีเมลานินสารสกัดจากทับทิม มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง เม็ดสีเมลานิน ที่เป็นเม็ดสีผิวที่ทำให้ผิวคล้ำ มีการทดลองให้กรดแอลลาจิก ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ได้จากทับทิม กับหนูสายพันธุ์บราวน์กินี (brown guinea) ที่ได้รับแสงอัลตราไวโอเลต พบว่า สารดังกล่าวมีผลยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ผิวหนัง และน้ำมันจากเมล็ด และสารสกัดจากทับทิมยังมีฤทธิ์กระตุ้นการสร้าง และยับยั้งการทำลายคอลลาเจน ซึ่งมีผลกับการสร้างเซลล์ผิวหนัง  สารสกัดจากทับทิมยังสามารถยับยั้งการสร้างสารอนุมูลอิสระจากรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด เอ และบีและยังพบอีกว่า สารสกัดทับทิมที่มีกรดแอลลาจิกจะช่วยยับยั้งไม่ให้ผิวคล้ำจากรังสีอัลตราไวโอเลตในหนูได้ และ ยังช่วยป้องกันการทำลายผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด เอ1 ได้ ทำให้สารสกัดทับทิมจึงเป็นผลไม้ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดี ช่วยชะลอไม่ให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ทั้งยังสามารถป้องกันอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด เอ และบีที่อาจนำไปสู่โรคมะเร็งผิวหนังได้ฤทธิ์ต่อการต้านอนุมูลอิสระสารสกัดจากทับทิม เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอลลาจิแทนนิน ฟลาโวนอยด์ และโพลีฟีนอล เป็นต้น สารสกัดจากทับทิมจะมีสารต้านอนุมูลอิสระออกมา เพื่อป้องกันอันตรายของมลพิษจากสิ่งแวดล้อมการศึกษาตรวจวิเคราะห์หาความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากทับทิม พบว่า เปลือกทับทิมเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญจำนวนมาก ทั้งยังพบว่า มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่าสารสกัดจากใบและเมล็ดทับทิม2-3นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระของน้ำผลไม้หลายชนิดในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า น้ำทับทิม มีฤทธิ์ต้าน อนุมูลอิสระสูงที่สุด4-6  สารต้านอนุมูลอิสระในทับทิมยังช่วยบำรุงตับได้ โดยจากการทดลองให้สารสกัดจากทับทิมในหนูทดลองก่อนที่จะให้สารพิษคาร์บอนเนตคลอไรด์ (CCl4 ) ซึ่งเป็นพิษต่อตับ พบว่า หนูที่ได้รับสารสกัดจากทับทิมสามารถป้องกันการเป็นพิษต่อตับได้อย่างมีนัยสำคัญ7ดังนั้นสารสกัดจากทับทิมจึงมี ประโยชน์อย่างยิ่งที่จะนำมาใช้ชะลอความเสื่อมต่าง ๆ ของร่างกายได้เอกสารอ้างอิงวัลวิภา เสืออุดม.ทับทิมผลไม้เพื่อสุขภาพ Healthy pomegranate fruit .มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ, มหาวิทยาลัยราชภัฎหมูบ้านจอมบึง.2559 [http://scijournal.hcu.ac.th/data]Al-Zoreky NS. Antimicrobial activity of pomegranate (Punica granatum L.) fruit peels. Int J Food Microbiol 2009;134(3):244-8. 44. Colombo M, Moita C, van Niel G, Kowal J, Vigneron J, Benaroch P, et al. Analysis of ESCRT functions in exosome biogenesis, composition and secretion highlights the heterogeneity of extracellular vesicles. J Cell Sci 2013;126 (24):5553-65. [https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/19632734/]Braga LC, Shupp JW, Cummings C, Jett M,Takahashi JA, Carmo LS, et al. Pomegranate extract inhibits Staphylococcus aureus growth and subsequent enterotoxin production. J Ethnopharmacol 2005;96(1-2):335-9. [https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/15588686/]Guo C, Yang J, Wei J, Li Y, Xu J, Jiang Y. Antioxidant activities of peel, pulp, and seed fractions of common fruits as determined by FRAP assay. Nutr Res 2003;23(12):1719-26 [https://link.springer.com/article/10.1007/s10068-011-0003-z]Kasai K, Yoshimura M, Koga T, Arii M, Kawasaki S. Effect of oral administration of ellagic acid-rich pomegranate extract of ultravioletinduct pigmentation in human skin. J Nutr Sci Vitaminol 2006;52(1):383. [https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/17190110]Tinrat S, Akkarachaneeyakorn S, Singhapol C. Evaluation of antioxidant and antimicrobial activities of Momordica cochinchinensis spreng (gac fruit) ethanolic extract. IJPSR 2014;5(8): 3163-9. [https://ijpsr.com/bft-article/evaluation-of-antioxidant-and-antimicrobial-activities-of-momordica-cochinchinensis-spreng-gac-fruit-ethanolic-extract/?view=fulltext]Seeram NP, Adams LS, Henning SM, Niu Y, Zhang Y, Nair MG. In vitro antiproliferative, apoptotic and antioxidant activities of punicalagin, ellagic acid and a total pomegranate tannin extract are enhanced in combination with other polyphenols as found in pomegranate juice. J Nutr Biochem 2005;16(6):360[https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/15936648/]