กลูต้าคอมเพล็กซ์ กับกลูต้าไธโอน ต่างจากอย่างไร

กลูต้าคอมเพล็กซ์ กับกลูต้าไธโอน ต่างจากอย่างไร

พฤศจิกายน 07, 2568

กลูต้าคอมเพล็กซ์ กับกลูต้าไธโอน ต่างจากอย่างไร    กลูต้าไธโอน ในรูปแบบอาหารเสริม ในความเข้าใจในอดีตคือ เมื่อรับประทานเข้าไปก็จะย่อยสลายเป็นโปรตีน ร่างกายไม่สามารถนำมาใช้ได้ ซึ่งก็เป็นความจริงในระดับหนึ่ง เพราะกลูตาไธโอนบริสุทธิ์ จะถูกเอนไซม์ในลำไส้แยกออกเป็นกรดอะมิโนก่อนร่างกายจะนำไปใช้สร้างกลูตาไธโอนใหม่นั่นเอง       แต่ความก้าวหน้าในปัจจุบัน Gluta-Complex ทำให้กลูตาไธโอนถูกดูดซึมได้ดีขึ้น ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ และผู้พัฒนาอาหารเสริมได้ปรับปรุงสูตร โดยเพิ่ม สารตั้งต้น (precursors)  และ ตัวช่วยดูดซึม (cofactors)  เข้าไปในสูตร ทำให้กลูตาไธโอนในรูปแบบ Gluta-Complex  มีประสิทธิภาพสูงกว่ากลูต้าบริสุทธิ์เดิมหลายเท่า   ⚙️ ส่วนประกอบกลูต้าคอมเพล็กซ์ ส่วนผสมแอล-ซิสเทอีน (L-Cysteine)เป็นกรดอะมิโน สารตั้งต้น ที่ร่างกายใช้สร้างกลูตาไธโอนโดยตรงแอล-กลูตามีน (L-Glutamine)ช่วยเสริมพลังงานให้เซลล์ และเป็น สารตั้งต้น หลักของกลูตาไธโอนไกลซีน (Glycine)สารตั้งต้น ทำหน้าที่เชื่อมโครงสร้างของโมเลกุลกลูตาไธโอนวิตามินซี (Ascorbic Acid)ตัวช่วยดูดซึม ช่วยรีไซเคิลกลูตาไธโอนในร่างกาย และเพิ่มการดูดซึมซิงค์ (Zinc)ตัวช่วยดูดซึม ให้เอนไซม์ที่สร้างกลูตาไธโอนทำงานได้เต็มประสิทธิภาพสารเสริมต่าง ๆช่วยเสริมการทำงานของ กลูต้าไธโอน หรือช่วยเรื่องผิว     ส่วนประกอบกลูต้าคอมเพล็กซ์ 1. กลุ่มสารตั้งต้นกลูต้าไธโอน (Precursors) 1.1 แอล-กลูตาไธโอน  ปกติร่างกายสร้างกลูตาไธโอนเองได้จากกรดอมิโน  3 ชนิด คือ กลูตามีน, ซิสเทอีน, ไกลซีนแต่ถ้าเครียด / เจ็บป่วย / ออกกำลังหนัก ร่างกายอาจสร้างได้ไม่เพียงพอกลูตาไธโอนยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่ใช้ในการสร้างเม็ดสีเมลานินกลูตาไธโอน ลดการผลิตเม็ดสีเข้ม (Eumelanin) และส่งเสริมเม็ดสีอ่อน (และส่งเสริมเม็ดสีอ่อน (Pheomelanin)กลูตาไธโอน ปกป้องผิวจากแสงแดด ช่วยป้องกันการถูกทำลายของเซลล์ผิวจากรังสี UV และมลภาวะลดการอักเสบระดับเซลล์ ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น ผิวแลดูกระจ่างใสขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ ดูมีออร่ามากขึ้นกลูตาไธโอนทำหน้าที่ รีไซเคิลวิตามินซีและอี ให้กลับมาใช้งานได้ใหม่ 1.2 แอล-ซิสเทอีน (L-Cysteine)  เป็น “สารตั้งต้น” ที่ช่วยให้ร่างกายสามารถผลิตกลูตาไธโอนช่วยลดการอักเสบของเซลล์ผิวจากรังสี UV และมลภาวะแอล-ซิสเทอีนเป็นส่วนประกอบหลักของเคราติน โปรตีนโครงสร้างเส้นใยองค์ประกอบหลักของ ผม เล็บ ขนL-Cysteine เป็นวัตถุดิบตั้งต้นของ Glutathione ช่วยให้ร่างกายสร้างกลูตาไธโอนได้เองตามธรรมชาติ 1.3 ไกลซีน (Glycine) มีบทบาทคือการซ่อมแซมเซลล์ผิว การสร้างคอลลาเจน และสารตั้งต้นการผลิตกลูตาไธโอนไกลซีนเป็นกรดอมิโนหลักในโครงสร้างคอลลาเจน ถึงกว่า 1/3 ของร่างกาย รวมเส้นผมและเนื้อเยื่อช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิว ทำให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายจากรังสี UV หรือสิวอักเสบดูเรียบเนียนขึ้นช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้ผิวแน่น กระชับ ลดเลือนริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวGlycine เป็นวัตถุดิบตั้งต้นของ Glutathione ช่วยให้ระดับกลูตาไธโอนในร่างกายคงที่ 1.4 แอล-กลูตามีน (L-Glutamine)  ซ่อมแซมเซลล์ ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ และเป็นสารตั้งต้นการผลิตกลูตาไธโอนL-Glutamine เป็นกรดอมิโนชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถสร้างได้เอง แต่ถ้าเครียด อ่อนเพลีย พักผ่อนน้อย ออกกำลังกายหนัก ร่างกายจะต้องการกลูตามีนเพิ่มมากขึ้น อาจผลิตไม่เพียงพอL-Glutamine ช่วยฟื้นฟูผิวและเสริมสร้างเซลล์ใหม่ ช่วยให้ร่างกายสร้างโปรตีนและเซลล์ผิวใหม่ได้รวดเร็วขึ้น ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เหมาะสำหรับมีผิวหมองคล้ำหรือฟื้นตัวช้า ช่วยให้ผิวแลดูสดใส สุขภาพดี เรียบเนียนจากภายในL-Glutamine เสริมระบบภูมิคุ้มกัน กลูตามีนเป็นแหล่งพลังงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว (Lymphocytes) L-Glutamine ส่งเสริมการดูดซึมวิตามินและสารอาหารสำคัญ เช่น วิตามินซี และกลูตาไธโอนL-Glutamine เป็นวัตถุดิบตั้งต้นของ Glutathione ช่วยให้ระดับกลูตาไธโอนในร่างกายคงที่  2. กลุ่มตัวช่วยดูดซึมกลูต้าไธโอน (cofactors) 2.1 ซิงค์ (Zinc) มีบทบาทในการ การสร้างเซลล์ผิว การสมานแผล การทำงานของภูมิคุ้มกันช่วยลดการเกิดสิว ควบคุมความมัน และเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายฟื้นฟูซ่อมแซมเซลล์ผิว ซิงค์ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว (T-Cell) ป้องกันการติดเชื้อในระบบผิวหนังZinc เป็นโคแฟกเตอร์ (Cofactor) ของเอนไซม์ที่ใช้สร้าง Glutathione ช่วยสร้าง/รีไซเคิล กลูตาไธโอน 2.2 แอล-แอสคอร์บิก แอซิด (Vitamin C) เป็นวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายวิตามินซี ช่วยยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดสีเมลานินวิตามินซี ช่วยเสริมการทำงานของกลูตาไธโอน เพิ่มความกระจ่างใส และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนวิตามินซีเป็น โคแฟกเตอร์ (Cofactor)ช่วยดูดซึมกลูตาไธโอนได้ดีขึ้น และช่วยรีไซเคิลกลูตาไธโอนในร่างกาย 2.3 ส้มสีเลือด (Blood Orange Extract) ส้มสายพันธุ์พิเศษที่มีเนื้อสีแดงเข้ม วิตามินซีสูงสีเลือดของส้มมาจาก แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินส่วนเกินแอนโทไซยานิน อุดมด้วยวิตามินซีและสารฟลาโวนอยด์ ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่ทำลายคอลลาเจนในผิวส้มสีเลือดมีฤทธิ์ Photoprotective Effect ซึ่งช่วยลดความเสียหายของผิวจากรังสี UVป้องกันการเกิดรอยไหม้แดด ฝ้า กระ และความหมองคล้ำสะสมจากแสงแดดเพิ่มการไหลเวียนโลหิตใต้ผิว ช่วยให้ผิวดูสดใส อมชมพู ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนวิตามินซีจากส้มสีเลือด ช่วยให้กลูต้าไธโอนทำงานได้ยาวนานขึ้น ลดการสร้างเม็ดสีเข้ม   2.4 สารสกัดจากอะเซโรล่า เชอร์รี่ วิตามินซีจากธรรมชาติแหล่งวิตามินซีธรรมชาติที่ช่วยให้ผิวแลดูเปล่งปลั่งและเสริมภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินเป็น “โคแฟกเตอร์” ในกระบวนการสร้างคอลลาเจนเสริมใช้ร่วมกับ Glutathione เป็นหนึ่งใน “สูตรเสริมฤทธิ์ผิวใส” ที่ปลอดภัยและเห็นผล  3. กลุ่มตัวช่วยอื่นๆ  3.1 สารสกัดจากมะเขือเทศ มีไลโคปีน (Lycopene) ต้านอนุมูลอิสระสูงมาก เด่นเรื่องป้องกัน  UVไลโคปีน ปกป้องผิวจากรังสี UV จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “เกราะป้องกันผิวจากแสงแดด” ตามธรรมชาติไลโคปีนช่วยยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่ใช้ในการสร้างเม็ดสีเมลานินไลโคปีนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและอนุมูลอิสระในหลอดเลือด ส่งผลให้เลือดไหลเวียนดี ผิวพรรณเปล่งปลั่งGlutathione ยับยั้งเมลานิน + Lycopene ป้องกันแดด ผิวดูขาวใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 3.2. ผงสาหร่ายสีแดง (Red Algae Powder) มีแอสต้าแซนธิน สารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซี 6000 เท่าแอสตาแซนธินช่วยป้องกันการทำลายเซลล์ผิวจากรังสี UV ลดการอักเสบ ผิวไหม้จากรังสี UVB และ UVAแอสตาแซนธินยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดสีเมลานินแอสตาแซนธินกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแน่น กระชับทำงานร่วมกัน Glutathione แอสตาแซนธินเพิ่มคอลลาเจน / ลดการสร้างเม็ดสีผิว ผิวจึงดูแน่น กระจ่างใส 3.3 แอล-อาร์จินีน (L-Arginine)แอล-อาร์จินีนเป็นสารตั้งต้นของ ไนตริกออกไซด์ ซึ่งช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นเมื่อการไหลเวียนโลหิตดี ผิวจะได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น ส่งผลให้ผิวดูเปล่งปลั่ง สุขภาพดีแอล-อาร์จินีน ฟื้นฟูเซลล์ผิวและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ เร่งกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่เกิดขึ้นเร็วขึ้นแอล-อาร์จินีน ส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ให้ผิวแข็งแรง ยืดหยุ่น และลดการเกิดริ้วรอยแอล-อาร์จินีน เพิ่มการไหลเวียนเลือด ช่วยดูดซึม Glutathione  3.4 สารสกัดจากเมล่อน มีเอนไซม์ SOD (superoxide dismutase)SOD ช่วยลดความเครียดจากแสงแดดและมลภาวะ ต้านอนุมูลอิสระภายในร่างกายSOD มีฤทธิ์ ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันความเสียหายจากรังสี UV ลดการอักเสบ สนับสนุนภูมิคุ้มกันGlutathione และ SOD ทำงานร่วมกัน ช่วยลดเมลานิน เพิ่มผิวสว่าง ลดจุดด่างดำและเพิ่มคอลลาเจน 3.5 สารสกัดจากองุ่น มีโอลีกอเมริกโพรแอนโธไซยานิดินส์ (OPCs) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงสารสกัดจากองุ่น มีโพลีฟีนอลและเรสเวอราทรอล ช่วยชะลอวัยและเสริมความแข็งแรงของผิวสารสกัดจากองุ่น มีการทดลองพบว่า ช่วยลด “lipid peroxidation” (การถูกทำลายของไขมันในเซลล์)สารสกัดองุ่น มีงานวิจัยด้านการส่งเสริมการสมานแผล การทำงานของเซลล์ผิวสารสกัดจากองุ่น ช่วยลดความเสียหายของผิว, ลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ Glutathione ทำหน้าที่เป็นแอนติออกซิแดนท์หลักในเซลล์และ สารสกัดจากองุ่นช่วยลดการสร้างอนุมูลอิสระ  3.6 โคเอนไซม์ คิว10 (CoQ10)  ช่วยผลิตพลังงานในระดับเซลล์ และเป็นแอนติออกซิแดนท์CoQ10 ช่วยเสริมพลังงานให้เซลล์ผิวและลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัยCoQ10 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานของเซลล์ สนับสนุนผิวพรรณ / ต้านความแก่Glutathione และ CoQ10 ถูกใช้ร่วมกัน ช่วยกันในเรื่อง “คุณค่า/การดูดซึม/การทำงานเสริม” 3.7 เลซิติน (Lecithin) เป็นกลุ่มไขมันชนิดฟอสโฟลิปิด (phospholipids) ที่อยู่ในอาหาร เช่น ไข่แดงเลซิติน ช่วยดูแลระบบตับและลำไส้ ส่งเสริมการดูดซึมสารอาหารให้มีประสิทธิภาพเลซิตินมีส่วนประกอบของ choline สำคัญต่อโครงสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ การส่งสัญญาณระบบประสาทช่วยเรื่องความชุ่มชื้นของผิว หรือสมานแผลในบางกรณีช่วยเรื่องความชุ่มชื้นของผิว หรือสมานแผลในบางกรณีGlutathione เลซิตินและ choline “การดูแลแบบองค์รวม” ดีขึ้น (สร้างโครงสร้างเซลล์ + ปกป้อง + ซ่อมแซม)Other Additional Supporting Nutrientsดี-แอลฟา-โทโคฟีรอล อะซิเตท (Vitamin E) 10 มก.ป้องกันการเกิดริ้วรอยและช่วยให้ผิวชุ่มชื้นสารสกัดจากข้าว 10 มก.ช่วยให้ผิวเนียนละเอียดและมีความชุ่มชื้นผงรำข้าว 7.2 มก.อุดมด้วยวิตามินบีและสารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติ

รู้จักแคลเซียม แอล-ทรีโอเนต

รู้จักแคลเซียม แอล-ทรีโอเนต

กันยายน 04, 2568

แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต  - การดูแลสุขภาพกระดูกและฟันให้แข็งแรง เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง ร่างกายไม่สะสมแคลเซียม ตลอดจนผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน และผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ดังนั้นการเลือกชนิด ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแคลเซียมให้เหมาะสม จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ต่อตนเอง  แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต คืออะไรเป็นแร่ธาตุที่ มีส่วนช่วย ความหนาแน่นมวลกระดูก เสี่ยงกระดูกพรุน และสุขภาพฟันแคลเซียมในอาหารเสริม ที่พบบ่อย มี 3 ชนิดCalcium CarbonateCalCium CitrateCalcium L-Threonateแคลเซียม แอล-ทรีโอเนต เป็นแคลเซียมโมเลกุลเล็ก ร่างกายจึงสามารถละลายและดูดซึมได้ 90 - 95% แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต สกัดจากข้าวโพด จากขั้นตอน ได้วิตามินซี และส่วนประกอบของ กรดแอลทรีโอนิก (L-Threonic Acid) ซึ่งช่วยกระตุ้นการออกฤทธิ์ของวิตามินซีในร่างกาย ที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน และเพิ่มน้ำไขข้อ ขั้นตอนการผลิตแคลเซียม แอล-ทรีโอเนต      แคลเซียมทั่วไป ได้มาจาก หิน กระดูกสัตว์ เปลือกหอย แต่แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต ผลิตมาจากข้าวโพด โดยมีกรรมวิธีแป้งข้าวโพด (Corn starch) → ผ่านกระบวนการหมัก/เอนไซม์ → ได้ กลูโคส กลูโคส → หมักต่อด้วยแบคทีเรีย/จุลินทรีย์ → ได้ วิตามินซี (Ascorbic acid) วิตามินซี → ผ่านกระบวนการออกซิไดซ์บางส่วน → ได้ L-Threonic acid L-Threonic acid + Calcium salt → ได้ Calcium L-Threonate  แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต ต่างจากแคลเซียมฟอร่มอื่นๆ อย่างไร?การดูดซึมเข้าสู่ร่างกายไม่เท่ากัน แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต ดูดซึมได้ดีกว่า 6-9 เท่าถ้าดูดซึมได้ดี รับเข้าร่างกายจะใช้ปริมาณน้อยกว่า ถ้าดูดซึมได้น้อย เราต้องรับปริมาณมากขึ้น จึงจะเห็นผลเท่ากันผลข้างเคียง เช่นอาการท้องผูก ท้องอืดน้อยมาก ไม่จำเป็นต้องใช้กรดในกระเพาะสำหรับการดูดซึม จึงไม่จำเป็นต้องกินพร้อมมื้ออาหารเหมือนแคลเซียมชนิดอื่น  จากบทความ “เรื่องแคลเซียมต้องรู้” ของโรงพยาบาลกรุงเทพร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์แคลเซียมเองได้ สามารถหาแคลเซียมได้จาก 2 แหล่ง คืออาหาร หรืออาหารเสริมอาหารเสริมแคลเซียม มี 3 ตระกูล ดูจาก ‘นามสกุล’ ได้แก่Calcium ‘Carbonate’ ดูดซึมได้ 10% , มีอาการ ท้องอืด, ท้องผูก Calcium ‘Citrate’ ดูดซึมได้ 50% ต้องกินพร้อมอาหาร (ทำงานได้ต่อเมื่อมีกรดในกระเพาะเท่านั้น)Calcium ‘L Threonate’ ดูดซึมได้ 90% กินตอนท้องว่างได้   CarbonateCitrateL Threonateดูดซึม10%50%90%ปริมาณที่ใช้สูง 40%กลาง 21%น้อย 13%การดูดซึมพึ่งกรดในกระเพาะพึ่งกรดในกระเพราะกินเมื่อไหร่ก็ได้ผลข้างเคียงท้องผูกท้องอืดท้องผูกน้อยกว่าน้อยมากราคาถูกปานกลางสูง ข้อควรรู้แคลเซียมในรูปแบบอาหารเสริมควรเลือกชนิดดูดซึมได้ดี การกินแคลเซียมชนิดที่ดูดซึมไม่ดี อาจทำให้มีอาการท้องผูก  ท้องอืดไม่รับแคลเซียมมากเกินความจำเป็น เพราะอาจทำให้เกิดการสะสมของหินปูนในเต้านม ไต หลอดเลือดแคลเซียมควรทานควบคู่กับวิตามินดี จะช่วยยิ่งทำให้ลำไส้ดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้นVitamin D3 ช่วยดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ สนับสนุนกระดูก-กล้ามเนื้อ ช่วยให้แคลเซียมทำงานได้เต็มที่Vitamin K2 นำทางแคลเซียมไปที่เนื้อกระดูก ป้องกันไม่ให้แคลเซียมสะสมผิดที่ เช่นที่ หลอดเลือด หัวใจ หรือไตMagnesium ช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่และควบคุมไม่ให้แคลเซียมจับตัวเป็นก้อนผิดที่ เช่นหลอดเลือด ไตBoron ช่วยการดูดซึมแคลเซียม ลดการสูญเสียแคลเซียมทางปัสสาวะ ช่วยลดกระดูกพรุน กระดูกแข็งแรงขึ้นสารสกัดหญ้าหางม้า: แหล่งซิลิกา ให้ซิลิกา/ซิลิคอนซึ่งเป็นองค์ประกอบของเมทริกซ์กระดูก-คอลลาเจนCopper สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินร่วมกับวิตามีนซี ทำให้กระดูกและข้อต่อ แข็งแรง ยืดหยุ่น   ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละช่วงอายุอายุ < 40 ปี 800 mg / วัน = นม 3 – 4 แก้ววัยทอง (~50 ปี) 1000 mg / วัน = นม 4 – 5 แก้วผู้หญิงที่ตั้งครรภ์, อายุ > 60ปี 1200 mg / วัน = นม 6 – 7 แก้วผู้หญิงมีโอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนมากถึง 30  – 40% ส่วนผู้ชาย 10%10 ปีแรกหลังหมดประจำเดือน กระดูกจะบางลงเร็วมาก เกิดจากการขาดฮอร์โมนเพศหญิง หรือ Estrogen การเสริม Calcium จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพื่อช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุน แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต เหมาะกับใครวัยหมดประจำเดือน / อายุ 50+เสี่ยงมวลกระดูกลดลงจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ต่ำลงคนที่รับแคลเซียมจากอาหารไม่พอไม่ทานนม/ชีส/โยเกิร์ต, กินมังสวิรัติ/วีแกนแบบจำกัด หรือควบคุมอาหารคนที่ท้องอืดหรือไม่ถูกกับแคลเซียมรูปแบบอื่นL-Threonate มักอ่อนโยนต่อกระเพาะ ละลายได้ดีแม้กรดในกระเพาะน้อยผู้ที่มีความเสี่ยงกระดูกพรุน/กระดูกบางมีประวัติครอบครัว กระดูกหักง่าย เคยตรวจความหนาแน่นกระดูกต่ำ (T-score ต่ำ)ผู้ที่ใช้ยาหรือมีภาวะที่เร่งสลายกระดูกใช้สเตียรอยด์เรื้อรัง, ภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน, ขาดวิตามิน Dนักกีฬา/ผู้ที่ใช้งานร่างกายหนักเสี่ยงกระดูกล้า/กระดูกลาย (stress fracture) ต้องการซ่อมแซมเร็วผู้สูงอายุที่ดูดซึมได้ไม่ดีL-Threonate เหมาะเพราะดูดซึมได้ดีและไม่ต้องพึ่งกรดในกระเพาะมาก ใครที่ “ควรเลี่ยง” หรือ ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนภาวะแคลเซียมสูงในเลือด (Hypercalcemia)เช่น ภาวะพาราไทรอยด์ทำงานเกิน, ซาร์คอยโดซิสนิ่ว แคลเซียมออกซาเลต/ฟอสเฟต, โรคไตเรื้อรังระยะกลาง–ปลายใช้ยาบางชนิดที่มีปฏิกิริยากับแคลเซียมเช่น ยากลุ่มไทรอยด์ฮอร์โมน (levothyroxine), ยาปฏิชีวนะ tetracycline/quinolone,ยากระดูกพรุนกลุ่ม bisphosphonates — ควรแยกเวลาทานอย่างน้อย 2 ชม.หญิงตั้งครรภ์/ให้นมบุตร → ควรประเมินปริมาณกับแพทย์/พยาบาลก่อนแคลเซียมไม่ใช่ยา หรือวิธีรักษา โรคข้อเข่าเสื่อม (ไม่มีหลักฐานวิจัย สามารถซ่อมกระดูก ข้อเข่า ควรปรึกษาแพทย์) แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต ไม่ควรทานคู่กับอะไรบ้างสารเหตุผลธาตุเหล็กแคลเซียมยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็ก สังกะสีขนาดสูงแข่งกันดูดซึมในลำไส้ ทำให้การดูดซึมลดลงทั้งคู่ ควรเว้นระยะอย่างน้อย 2 ชั่วโมงไฟเบอร์ปริมาณสูงไฟเบอร์จับกับแคลเซียม ลดการดูดซึม ตกตะกอนไม่ถูกดูดซึม ควรเว้น 2 ชั่วโมงฟอสฟอรัส/ฟอสเฟตจับกับแคลเซียม กลายเป็น แคลเซียมฟอสเฟต ร่างกายดูดซึมไม่ไ่ด้  

สารอาหารบำรุงดวงตา

สารอาหารบำรุงดวงตา

กันยายน 04, 2568

สารอาหารบำรุงดวงตา - ทำไมลูทีน ซีแซนทีน สารสกัดบิลเบอร์รี่ และเบต้า-แคโรทีน ถึงสำคัญต่อดวงตา? ในยุคดิจิตัล เราใช้สายตากับหน้าจอหลายชั่วโมงต่อวัน ดวงตาต้องเผชิญกับแสงสีฟ้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ อาจทำให้เกิดอาการตาล้า ตาแห้ง ตาพร่ามัว การทานวิตามินบำรุงสายตา จึงเป็นสิ่งที่เราควรพิจารณา   1) ลูทีน (Lutein)ลูทีนในร่างกายจะสะสมอยู่มากบริเวณ “จุดรับภาพ (macula)” และ ”เรตินา (Retina)" ช่วยปกป้องจอประสาทตา macula ช่วยกรองแสงสีฟ้าปกป้องเนื้อเยื่อดวงตา ลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระลูทีนที่อยู่บริเวณผิวหนัง ช่วยเสริมสุขภาพผิว ให้ทนต่อรังสียูวีมากขึ้นลูทีนมักใช้คู่กับซีแซนทีนเพื่อเสริมกันร่างกายควรได้รับลูทีน 6–10 มก./วัน (แต่โดยทั่วไปผู้ที่บริโภคได้รับลูทีนเฉลี่ยเพียง 1.7 มก./วัน จากอาหาร)ถึงลูทีนไม่ใช่สารจำเป็น แต่ลูทีนที่ไปสะสมใน macula ถ้ามีไม่พอแล้วเป็นอย่างไร?ชั้นเม็ดสีปกป้องจอประสาทตาบางลง อาจไวต่อแสงสีน้ำเงินมากขึ้น ล้าตา/แสบตาง่ายเวลาใช้จอนาน ความไวคอนทราสต์และการฟื้นตัวจากแสงจ้าอาจแย่ลงเล็กน้อยระยะยาว: ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงจอประสาทตาเสื่อมอยู่แล้ว อาจเพิ่มโอกาสลุกลามได้มากกว่าเมื่อเทียบกับคนที่ได้เพียงพอ 2) ซีแซนทีน/ซาแซนทีน (Zeaxanthin)สะสมใน “จุดรับภาพ (macula)” ของจอประสาทตา คู่กับลูทีนช่วยเรื่อง การมองเห็นคมชัด และ ความทนต่อแสงจ้าเป็นคู่หูของลูทีน ทำหน้าที่คล้ายกันและอยู่บริเวณ macula เช่นกันทาน พร้อมมื้อหรือน้ำมันที่มีไขมันดี จะช่วยให้ดูดซึมลูทีน/ซีแซนทีนได้ดีกว่าร่างกายควรได้รับ ซีแซนทีน ราว 2–4 มก./วันซีแซนทีนไม่ใช่สารจำเป็นเช่นเดียวกับลูทีน แต่ถ้าได้รับไม่เพียงพออาจมีแนวโน้มอาจรับแสงจ้าได้น้อยลงฟื้นตัวจากแสงช้าลงมีแนวโน้มล้าตาง่ายขึ้นเมื่อจอนาน ๆ  3) สารสกัดจากบิลเบอร์รี่ (Bilberry extract)ช่วยดูแลหลอดเลือดเลี้ยงดวงตาช่วยเรื่อง ตาล้า/แห้ง ในบางส่วนของตาอุดมด้วย แอนโธไซยานิน (สารต้านอนุมูลอิสระ)ได้รับจากพืชตระกูลเบอรี่ร่างกายควรได้รับ บิลเบอร์รี่สกัดมาตรฐาน ราว 80–160 มก./วันถึงไม่ใช่สารอาหารจำเป็น แต่ถ้าขาด อาจพลาดประโยชน์จากสารแอนโธไซยานินขาดการช่วยลดอนุมูลอิสระขาดการสนับสนุนหลอดเลือดเลี้ยงตาล้าตาง่ายขึ้นเมื่อใช้สายตาหนัก (บางคน) 4) เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene)เกี่ยวข้องกับ การเห็นในที่มืด และ เสริมภูมิคุ้มกันเป็น Pro-vitamin A ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามิน Aได้รับจากอาหารธรรมชาติ เช่น แครอท ฟักทอง มันเทศ ฯลฯเป็นแหล่งวิตามินเอ ถ้าร่างกายขาดวิตามินเอมองเห็นในที่มืดแย่ลง (ตาฟางกลางคืน)ตาแห้ง แสบตา น้ำตาน้อย เยื่อบุตา–กระจกตาเสียหายถ้ารุนแรงผิว–เยื่อบุแห้ง ติดเชื้อง่าย ภูมิคุ้มกันถดถอย  วิธีทานให้ได้ผลคุ้มค่าทานพร้อมมื้อ โดยเฉพาะมื้อที่มีไขมันดี (ช่วยดูดซึม)สม่ำเสมอ: เม็ดสีในจอประสาทตาเพิ่มช้า ผลลัพธ์ต้องใช้เวลาคู่กับอาหารจริง: ผักใบเขียวเข้ม ข้าวโพด ไข่แดง แครอท ฟักทอง มันเทศ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่พักสายตา: 20-20-20 (ทุก 20 นาที มองไกล 20 ฟุต 20 วินาที) และปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะ ใคร “น่าจะได้ประโยชน์”คนใช้สายตาหนัก: ทำงานหน้าจอ, ชอบจ้องโทรศัพท์, ตาสู้แสงจ้า, ขับรถกลางคืนบ่อยผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ต้องการดูแลจอประสาทตาเพิ่มเติมคนที่กินผักผลไม้สีเข้มไม่พอในแต่ละวัน คำถามพบบ่อยถาม: กินแล้วตาดีขึ้นทันทีไหม?ตอบ: ไม่ใช่ผลทันที ต้องใช้เวลาสะสมและควบคู่กับพฤติกรรมดูแลสายตาถาม: ถ้ากินผักผลไม้เยอะอยู่แล้ว ยังต้องเสริมไหม?ตอบ: หลายคนพอจากอาหาร แต่ถ้าใช้สายตาหนัก/กินไม่พอ การเสริม “อาจ” ช่วยได้—ประเมินตามไลฟ์สไตล์และงบประมาณถาม: กินเวลาไหนดี?ตอบ: พร้อมอาหาร (มีไขมันดี) จะดูดซึมได้ดีกว่า  ข้อควรระวังสำคัญผู้สูบบุหรี่/เคยสูบบุหรี่: หลีกเลี่ยง “การเสริม” เบต้าแคโรทีนผู้ใช้ยาบางชนิด (เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด) หรือมีโรคตา/โรคเรื้อรัง → ปรึกษาแพทย์ก่อนอาหารเสริม ไม่รักษาโรค และ ไม่ทดแทน การตรวจสายตาและจอประสาทตาตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ References มาถนอมสายตากัน LUTEIN - YouTube: https://www.youtube.com/shorts/3uxlg8WEezEมิราเคิล ลูทีน พลัส ซีแซนธิน Shopee: https://shopee.co.th/product/81741185/43809582856 

ไฟเบอร์ดีท็อกซ์ – ทางเลือกเพื่อสุขภาพลำไส้ที่ดี

ไฟเบอร์ดีท็อกซ์ – ทางเลือกเพื่อสุขภาพลำไส้ที่ดี

มิถุนายน 10, 2568

ไฟเบอร์ดีท็อกซ์ – ทางเลือกเพื่อสุขภาพลำไส้ที่ดีการดูแลระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมคือการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทไฟเบอร์ดีท็อกซ์ ซึ่งช่วยส่งเสริมการทำงานของลำไส้และระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ ไฟเบอร์ดีท็อกซ์คืออะไร?ไฟเบอร์ดีท็อกซ์ เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบหลักคือ ใยอาหารหรือไฟเบอร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ช่วยให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้ยังช่วยลดการสะสมของสารพิษในร่างกาย และส่งเสริมสุขภาพโดยรวม ประโยชน์ของไฟเบอร์ดีท็อกซ์การบริโภคไฟเบอร์ดีท็อกซ์อย่างสม่ำเสมอสามารถนำมาซึ่งประโยชน์มากมาย เช่นส่งเสริมการขับถ่าย: ไฟเบอร์ช่วยเพิ่มปริมาณและความนุ่มของอุจจาระ ทำให้ขับถ่ายง่ายขึ้นลดความเสี่ยงของโรคลำไส้: การขับถ่ายที่เป็นปกติช่วยลดโอกาสการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับลำไส้ เช่น ริดสีดวงทวาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่ควบคุมน้ำหนัก: ไฟเบอร์ช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ลดการบริโภคอาหารส่วนเกิน ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ: ไฟเบอร์บางชนิดสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด  การเลือกใช้ไฟเบอร์ดีท็อกซ์เมื่อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ดีท็อกซ์ ควรพิจารณาส่วนประกอบที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย เช่นไฟเบอร์ละลายน้ำได้: ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและคอเลสเตอรอลไฟเบอร์ไม่ละลายน้ำ: ช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระและกระตุ้นการขับถ่ายพรีไบโอติก: ส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ การดูแลสุขภาพในยุคปัจจุบันด้วยไฟเบอร์ดีท็อกซ์การบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ด น้ำตาลสูง ไขมันสูง และการใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ ไฟเบอร์ดีท็อกซ์กลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่หลายคนเลือกใช้เพื่อชดเชยพฤติกรรมการกินที่ไม่สมดุล และฟื้นฟูสุขภาพลำไส้ให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ไฟเบอร์ดีท็อกซ์เหมาะกับใคร?ผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ดีท็อกซ์เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่าย เช่น ท้องผูกบ่อย รู้สึกแน่นท้อง ลำไส้ไม่เคลื่อนไหวเป็นปกติ หรือแม้กระทั่งผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและต้องการลดการดูดซึมไขมันส่วนเกิน ผู้ที่มีปัญหาเรื่องผิวพรรณ เช่น ผิวหมองคล้ำ เป็นสิวจากสารพิษที่สะสมในร่างกายก็สามารถใช้ไฟเบอร์ดีท็อกซ์เป็นตัวช่วยในการดีท็อกซ์สารพิษจากภายในได้เช่นกัน แนวโน้มของผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ดีท็อกซ์ในตลาดสุขภาพจากข้อมูลตลาดสุขภาพในปัจจุบัน พบว่าไฟเบอร์ดีท็อกซ์ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานและกลุ่มคนรักสุขภาพ เพราะมีงานวิจัยมากมายที่สนับสนุนว่า “สุขภาพลำไส้ที่ดีนำไปสู่สุขภาพโดยรวมที่ดี” ไฟเบอร์ดีท็อกซ์จึงไม่ใช่แค่การช่วยขับถ่ายเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อภูมิคุ้มกัน ผิวพรรณ และแม้แต่สภาพอารมณ์ของเราอีกด้วย

ไฟเบอร์คอลลาเจนเสริมสุขภาพและความงามจากภายในสู่ภายนอก

ไฟเบอร์คอลลาเจนเสริมสุขภาพและความงามจากภายในสู่ภายนอก

มิถุนายน 09, 2568

ไฟเบอร์คอลลาเจนเสริมสุขภาพและความงามจากภายในสู่ภายนอกการดูแลร่างกายให้สมบูรณ์และมีสุขภาพดีเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หนึ่งในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันคือ ไฟเบอร์คอลลาเจน ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างไฟเบอร์และคอลลาเจน เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีและผิวพรรณที่เปล่งปลั่งไฟเบอร์คอลลาเจนคืออะไร?ไฟเบอร์คอลลาเจน เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่รวมคุณประโยชน์ของไฟเบอร์และคอลลาเจนไว้ในหนึ่งเดียว ไฟเบอร์ช่วยในการขับถ่ายและการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ในขณะที่คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สำคัญต่อการรักษาความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นของผิวหนัง รวมถึงการเสริมสร้างกระดูกและข้อต่อ ประโยชน์ของไฟเบอร์คอลลาเจนการบริโภคไฟเบอร์คอลลาเจนเป็นประจำสามารถช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์หลายประการ ได้แก่:ส่งเสริมสุขภาพผิว: คอลลาเจนช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นของผิว ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์สนับสนุนการทำงานของระบบทางเดินอาหาร: ไฟเบอร์ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ลดอาการท้องผูก และส่งเสริมสุขภาพลำไส้เสริมสร้างกระดูกและข้อต่อ: คอลลาเจนมีบทบาทในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและข้อต่อ ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน: ไฟเบอร์ช่วยในการรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์คอลลาเจนที่น่าสนใจหนึ่งในผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์คอลลาเจนที่ได้รับความนิยม ซึ่งมีจุดเด่นในการรวมไฟเบอร์และคอลลาเจนไว้ในซองเดียว โดยมีส่วนผสมของคอลลาเจนไดเปปไทด์และไตรเปปไทด์ที่ช่วยในการดูดซึมและเสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกาย วิตามินซี นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น อะเซโรล่าเชอรี่ซึ่งเป็นวิตามินซีจากธรรมชาติ แอล-ซิสเทอีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นของกลูตาไธโอน สารสกัดจากมะเขือเทศ และสารสกัดจากทับทิม ที่ช่วยในการบำรุงผิวและลดการอักเสบ วิธีการบริโภคไฟเบอร์คอลลาเจนการบริโภคไฟเบอร์คอลลาเจนควรทำอย่างสม่ำเสมอ โดยสามารถผสมผงไฟเบอร์คอลลาเจนกับน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มที่ชื่นชอบ และดื่มวันละ 1-2 ครั้ง เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน และควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ร่วมด้วย คำแนะนำในการเลือกซื้อไฟเบอร์คอลลาเจนเมื่อเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์คอลลาเจน ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ส่วนผสมที่ใช้ ความปลอดภัย และการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัยต่อสุขภาพ ผลลัพธ์ที่ลูกค้าสามารถคาดหวังได้ผู้ที่บริโภคไฟเบอร์คอลลาเจนอย่างต่อเนื่องมักจะพบว่า ระบบขับถ่ายดีขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรก โดยไม่มีอาการปวดบิดหรือถ่ายบ่อยเกินไป ผิวพรรณจะเริ่มดูสดใส เปล่งปลั่ง เนื่องจากลำไส้ที่สะอาดมีผลต่อระบบการดูดซึมสารอาหาร รวมถึงมีผลโดยตรงต่อการลดสิว ฝ้า และความหมองคล้ำ สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ผิวลอก หรือริ้วรอยเริ่มลึก ไฟเบอร์คอลลาเจนที่มีคอลลาเจนเข้มข้นจะช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นจากภายในสู่ภายนอก ทำให้ผิวดูอิ่มฟู น่าสัมผัส และเมื่อใช้ควบคู่กับการดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม จะยิ่งเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น กลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์คอลลาเจนผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบขับถ่าย เช่น ท้องผูกเป็นประจำผู้ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพผิวและความงามผู้ที่อายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป ซึ่งคอลลาเจนในร่างกายเริ่มลดลงคนทำงานที่มีความเครียด พักผ่อนน้อย และรับประทานอาหารไม่เป็นเวลาผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนักและต้องการดีท็อกซ์ร่างกาย 

แคลเซียมแอลทรีโอเนต ทางเลือกใหม่เพื่อสุขภาพกระดูกที่แข็งแรง

แคลเซียมแอลทรีโอเนต ทางเลือกใหม่เพื่อสุขภาพกระดูกที่แข็งแรง

มิถุนายน 08, 2568

แคลเซียมแอลทรีโอเนต ทางเลือกใหม่เพื่อสุขภาพกระดูกที่แข็งแรงในยุคที่ผู้คนให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น การดูแลกระดูกให้แข็งแรงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน แคลเซียมแอลทรีโอเนต จึงกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจในการเสริมสร้างสุขภาพกระดูกอย่างมีประสิทธิภาพ แคลเซียมแอลทรีโอเนตคืออะไร?แคลเซียมแอลทรีโอเนตเป็นเกลือแคลเซียมของกรดแอลทรีโอนิก ซึ่งเป็นสารเมตาบอไลต์ของวิตามินซี มีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายได้ดีกว่าแคลเซียมรูปแบบอื่นๆ ประโยชน์ของแคลเซียมแอลทรีโอเนตต่อสุขภาพกระดูกการศึกษาในอาสาสมัครชาวจีนพบว่า แคลเซียมแอลทรีโอเนตสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว โดยมีการดูดซึมที่ดีขึ้นเมื่อรับประทานพร้อมอาหาร นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า แคลเซียมแอลทรีโอเนตช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก และลดการสลายของกระดูกในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน ความปลอดภัยในการใช้แคลเซียมแอลทรีโอเนตจากการศึกษาทางคลินิก พบว่าแคลเซียมแอลทรีโอเนตมีความปลอดภัยสูง โดยไม่มีรายงานผลข้างเคียงที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มรับประทานอาหารเสริมใดๆ ทำไมควรเลือกแคลเซียมแอลทรีโอเนตจาก MSPMSP เป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แคลเซียมแอลทรีโอเนตคุณภาพสูง ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากล เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดจากการดูแลสุขภาพกระดูก คำแนะนำในการรับประทานสำหรับผู้ใหญ่ แนะนำให้รับประทานแคลเซียมแอลทรีโอเนตวันละ 2-3 ครั้ง พร้อมอาหาร เพื่อเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ กลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมกับการรับประทานแคลเซียมแอลทรีโอเนตแคลเซียมแอลทรีโอเนตไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น แม้จะเป็นกลุ่มที่ต้องการเสริมสุขภาพกระดูกอย่างมาก แต่กลุ่มเป้าหมายที่ควรพิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์นี้ยังรวมถึงวัยทำงานที่มีพฤติกรรมการนั่งทำงานเป็นเวลานาน และไม่ค่อยออกกำลังกายผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งเสี่ยงต่อการสูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็วผู้ที่ออกกำลังกายหนัก ต้องการการฟื้นฟูร่างกายและกระดูกผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงพักฟื้นจากการแตกหักของกระดูกผู้ที่แพ้หรือลำไส้ไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมจากรูปแบบทั่วไปได้ดี การเสริมแคลเซียมที่เหมาะสมจะช่วยชะลอการเสื่อมของกระดูกในระยะยาว ป้องกันการเกิดภาวะกระดูกพรุนในอนาคต และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จุดแข็งของแคลเซียมแอลทรีโอเนตเมื่อเทียบกับแคลเซียมรูปแบบอื่นหากคุณเคยรับประทานแคลเซียมคาร์บอเนตหรือแคลเซียมซิเตรตแล้วพบว่ามีอาการท้องอืดหรือการดูดซึมไม่ดี แคลเซียมแอลทรีโอเนตถือเป็นอีกหนึ่งคำตอบที่ควรลอง เพราะ เป็นแคลเซียมที่ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ดีกว่ารูปแบบทั่วไปไม่มีผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารมีโอกาสสะสมแคลเซียมในกระดูกมากกว่า ไม่สะสมในหลอดเลือดปลอดภัยต่อผู้ที่มีปัญหาไตหรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วคุณสมบัติเหล่านี้ทำให้แคลเซียมแอลทรีโอเนตโดดเด่นเหนือกว่าทางเลือกอื่น และกลายเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์มากขึ้นเรื่อยๆ 

คอลลาเจนไทป์ทู สารอาหารสำคัญในการบำรุงข้อและกระดูก

คอลลาเจนไทป์ทู สารอาหารสำคัญในการบำรุงข้อและกระดูก

มิถุนายน 07, 2568

คอลลาเจนไทป์ทู สารอาหารสำคัญในการบำรุงข้อและกระดูกวงการสุขภาพและความงาม คอลลาเจนถือเป็นสารอาหารที่หลายคนรู้จักดี แต่สำหรับผู้ที่สนใจในการบำรุงข้อและกระดูก คอลลาเจนไทป์ทู (Type II Collagen) กลับเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม คอลลาเจนไทป์ทูเป็นประเภทของคอลลาเจนที่พบมากในกระดูกอ่อนและมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างและดูแลสุขภาพของข้อต่อ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการข้อเสื่อม ข้ออักเสบ หรือผู้สูงอายุที่เริ่มมีการเสื่อมสภาพของข้อต่อ คอลลาเจนไทป์ทู คืออะไร?คอลลาเจนไทป์ทู เป็นคอลลาเจนประเภทหนึ่งที่พบมากในกระดูกอ่อนของร่างกาย โดยเฉพาะในข้อต่อที่มีบทบาทในการเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้กับข้อต่อ คอลลาเจนไทป์ทูจึงมีความสำคัญอย่างมากในการรักษาความแข็งแรงของข้อต่อและกระดูกอ่อน การบริโภคคอลลาเจนไทป์ทูมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูและบำรุงข้อและกระดูกให้แข็งแรงขึ้น คอลลาเจนไทป์ทูแตกต่างจากคอลลาเจนไทป์หนึ่งที่พบในผิวหนัง กระดูก และเอ็น คอลลาเจนไทป์ทูจะเน้นการบำรุงข้อและกระดูกอ่อนโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญในการรองรับการเคลื่อนไหวและลดการเสียดสีของข้อต่อ ประโยชน์ของคอลลาเจนไทป์ทูหนึ่งในประโยชน์หลักของคอลลาเจนไทป์ทูคือการช่วยลดอาการของโรคข้อเสื่อม ซึ่งเป็นภาวะที่ข้อต่อเสื่อมสภาพและทำให้เกิดการอักเสบ การรับประทานคอลลาเจนไทป์ทูสามารถช่วยฟื้นฟูและเพิ่มความยืดหยุ่นของกระดูกอ่อนในข้อต่อ ช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบได้เป็นอย่างดี การศึกษาหลายชิ้นได้แสดงให้เห็นว่า การรับประทานคอลลาเจนไทป์ทูสามารถช่วยเพิ่มการสร้างกระดูกอ่อนและลดการเสื่อมสภาพของข้อต่อได้ ทำให้ข้อต่อทำงานได้ดีขึ้น ลดอาการเจ็บปวด และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีอาการข้อเสื่อม คอลลาเจนไทป์ทูยังมีส่วนช่วยในการบำรุงกระดูกและกระดูกอ่อน ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแรงและป้องกันการบาดเจ็บจากการใช้งานข้อต่อเป็นเวลานาน การบริโภคคอลลาเจนไทป์ทูจะทำให้ร่างกายสามารถรักษาสุขภาพของข้อต่อได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้การเคลื่อนไหวร่างกายทำได้อย่างสะดวกและไร้ข้อจำกัด การใช้คอลลาเจนไทป์ทูในชีวิตประจำวันการรับประทานคอลลาเจนไทป์ทูสามารถทำได้หลายวิธี โดยผลิตภัณฑ์คอลลาเจนไทป์ทูในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ ทั้งในรูปของผง คอลลาเจนไทป์ทูชนิดแคปซูล หรือแม้แต่ในรูปของเครื่องดื่มเสริมอาหาร โดยปกติแล้วผลิตภัณฑ์คอลลาเจนไทป์ทูจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงในการบำรุงข้อและกระดูก สำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงข้อและกระดูกอย่างต่อเนื่อง การบริโภคคอลลาเจนไทป์ทูทุกวันในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและยืดหยุ่นของข้อต่อ ทำให้คุณสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระและไม่รู้สึกเจ็บปวดจากการเสียดสีของข้อต่อ วิธีเลือกคอลลาเจนไทป์ทูการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคอลลาเจนไทป์ทูคุณภาพ จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพข้อและกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลิตภัณฑ์ของเราได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์สูงสุดในการเสริมสร้างสุขภาพในระยะยาว คอลลาเจนไทป์ทูเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการบำรุงข้อและกระดูกอ่อน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาความแข็งแรงของข้อต่อและกระดูกในร่างกาย การบริโภคคอลลาเจนไทป์ทูอย่างต่อเนื่องสามารถช่วยลดอาการปวดข้อและข้อเสื่อมได้ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและป้องกันการเสื่อมสภาพของข้อต่อในระยะยาว 

น้ำมันกระเทียม ประโยชน์ที่คุณไม่ควรมองข้ามในการดูแลสุขภาพ

น้ำมันกระเทียม ประโยชน์ที่คุณไม่ควรมองข้ามในการดูแลสุขภาพ

มิถุนายน 06, 2568

น้ำมันกระเทียม ประโยชน์ที่คุณไม่ควรมองข้ามในการดูแลสุขภาพในยุคที่หลายๆ คนหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเพื่อเสริมสร้างสุขภาพและบำรุงร่างกายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ถูกพูดถึงอย่างมากในช่วงนี้คือ "น้ำมันกระเทียม" ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่มีคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์มากมายต่อร่างกาย น้ำมันกระเทียมไม่เพียงแต่เป็นเครื่องปรุงที่เพิ่มรสชาติให้กับอาหาร แต่ยังมีคุณสมบัติในการดูแลสุขภาพในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและการลดการอักเสบ ในการเลือกซื้อน้ำมันกระเทียม ควรคำนึงถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นหลัก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการสกัดเย็นหรือกระบวนการผลิตที่รักษาคุณค่าของกระเทียมไว้ได้อย่างเต็มที่ น้ำมันกระเทียมที่ดีจะต้องมีความเข้มข้นสูงและไม่มีสารเคมีหรือสารกันบูดที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์น้ำมันกระเทียมจาก MSP Thailand มีคุณสมบัติที่โดดเด่นในด้านการรักษาคุณค่าทางโภชนาการ เนื่องจากใช้น้ำมันกระเทียมที่สกัดจากกระเทียมสดที่มีคุณภาพ ซึ่งช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้ผลิตภัณฑ์นี้เพื่อดูแลสุขภาพและเสริมภูมิคุ้มกัน น้ำมันกระเทียมสามารถใช้ได้หลากหลายรูปแบบและเหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการดูแลสุขภาพในรูปแบบที่ง่ายและสะดวก หากชอบทานอาหารที่มีรสชาติพิเศษ การเติมน้ำมันกระเทียมลงในสลัด น้ำซุป หรือซอสต่างๆ จะช่วยเพิ่มความหอมและรสชาติที่มีเอกลักษณ์ พร้อมทั้งได้ประโยชน์จากสารอาหารที่มีอยู่ในน้ำมันกระเทียม อีกวิธีหนึ่งที่สามารถใช้ได้คือการบริโภคน้ำมันกระเทียมในรูปแบบของอาหารเสริม โดยสามารถรับประทานในปริมาณที่แนะนำเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและบำรุงร่างกาย การทานน้ำมันกระเทียมในรูปแบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยดูแลสุขภาพทั่วไป แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ ที่อาจเกิดจากการอักเสบ หรือการติดเชื้อ น้ำมันกระเทียมกับการดูแลสุขภาพระยะยาวการดูแลสุขภาพในระยะยาวนั้นไม่เพียงแต่ต้องการการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง แต่ยังต้องมีการบำรุงร่างกายจากภายในและภายนอก น้ำมันกระเทียมจึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเสริมสร้างสุขภาพจากภายในโดยไม่ต้องใช้สารเคมีหรือยาที่มีผลข้างเคียง การทานน้ำมันกระเทียมเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น และผิวพรรณดูสดใสขึ้น การใช้ในระยะยาวยังช่วยให้ร่างกายสามารถป้องกันและฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บและการติดเชื้อ รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือแม้กระทั่งโรคมะเร็งบางประเภท น้ำมันกระเทียมจึงถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืน น้ำมันกระเทียม คืออะไร?น้ำมันกระเทียมทำมาจากการสกัดสารจากกระเทียมที่มีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงร่างกาย กระเทียม เป็นสมุนไพรที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย เช่น ซัลเฟอร์ ไอโอดีน วิตามิน C และแร่ธาตุต่างๆ น้ำมันกระเทียมจะได้จากการสกัดสารจากกระเทียมสดหรือจากการนำกระเทียมมาแปรรูปให้อยู่ในรูปของน้ำมัน เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกและเพิ่มความเข้มข้นของสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย น้ำมันกระเทียมมีสารประกอบที่มีประโยชน์ เช่น อัลลิซิน ซึ่งเป็นสารที่ให้กลิ่นหอมและมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อจุลินทรีย์ ช่วยในการป้องกันการติดเชื้อ และยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้อีกด้วย ประโยชน์ของน้ำมันกระเทียมน้ำมันกระเทียมเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะในการช่วยเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมและป้องกันโรคต่างๆ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: น้ำมันกระเทียมช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เนื่องจากสารอัลลิซินในกระเทียมมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อจุลินทรีย์ ทั้งแบคทีเรียและไวรัส ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในร่างกายและช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคหวัดและไข้หวัดใหญ่ ลดความดันโลหิต: น้ำมันกระเทียมช่วยลดระดับความดันโลหิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาได้แสดงให้เห็นว่าการบริโภคน้ำมันกระเทียมสามารถช่วยลดความดันโลหิตในผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงได้ การทำงานนี้เกิดจากสารประกอบในกระเทียมที่ช่วยขยายหลอดเลือดและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอล: น้ำมันกระเทียมช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ในเลือด โดยการช่วยลดการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจ ป้องกันโรคมะเร็ง: น้ำมันกระเทียมยังมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งและลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางประเภท เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านม บำรุงสุขภาพผิว: การใช้ น้ำมันกระเทียมช่วยบำรุงสุขภาพผิวได้โดยการลดการอักเสบและลดการเกิดสิว เนื่องจากน้ำมันกระเทียมมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ซึ่งสามารถช่วยรักษาผิวจากการอักเสบที่เกิดจากสิวหรือการระคายเคืองต่างๆ ช่วยในการย่อยอาหาร: น้ำมันกระเทียมช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และช่วยให้การย่อยอาหารเป็นไปได้ดีขึ้น ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้น้ำมันกระเทียมในชีวิตประจำวันการใช้น้ำมันกระเทียมสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การทานน้ำมันกระเทียมในรูปแบบอาหารเสริม หรือการนำไปใช้เป็นส่วนผสมในอาหารต่างๆ การบริโภคน้ำมันกระเทียมในรูปแบบอาหารเสริมจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารสำคัญจากกระเทียมในปริมาณที่เหมาะสม หากใช้ในรูปแบบของเครื่องดื่มหรืออาหาร น้ำมันกระเทียมจะช่วยเสริมรสชาติและเพิ่มประโยชน์ในการดูแลสุขภาพ เลือกน้ำมันกระเทียมคุณภาพหากคุณกำลังมองหาผลิตภัณฑ์น้ำมันกระเทียมที่มีคุณภาพสูงเพื่อบำรุงสุขภาพ แนะนำน้ำมันกระเทียม ที่มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างสุขภาพและเพิ่มพลังให้กับร่างกาย สกัดจากกระเทียมสดที่ผ่านกระบวนการผลิตอย่างพิถีพิถันเพื่อรักษาคุณค่าสารอาหารที่มีประโยชน์ไว้ได้อย่างครบถ้วน 

Flaxseed สุขภาพที่คุณไม่ควรมองข้าม

Flaxseed สุขภาพที่คุณไม่ควรมองข้าม

มิถุนายน 05, 2568

Flaxseed สุขภาพที่คุณไม่ควรมองข้ามในปัจจุบันที่ผู้คนให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพอย่างยั่งยืน การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเพื่อเสริมสร้างสุขภาพจึงกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมในวงกว้าง หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ถือเป็นพันธมิตรสำคัญต่อสุขภาพก็คือ “Flaxseed” หรือ “เมล็ดแฟลกซ์” ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการที่สูงและประโยชน์มากมายต่อร่างกายของเรา Flaxseed คือ เมล็ดจากพืชแฟลกซ์ซึ่งเป็นแหล่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 และไฟเบอร์ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการดูแลร่างกายและสุขภาพของเรา เมล็ดแฟลกซ์สามารถนำมาใช้ได้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น เมล็ดทั้งเมล็ด, ผง Flaxseed, หรือ น้ำมัน Flaxseed ที่สามารถนำมาทานในหลายๆ ลักษณะเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร การเลือกใช้ Flaxseed ในชีวิตประจำวันนั้นไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดี แต่ยังสามารถช่วยปรับสมดุลของระบบภายในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับประโยชน์ของ Flaxseed และเหตุผลที่ควรนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพในแต่ละวัน ประโยชน์ของ FlaxseedFlaxseed ถือเป็นแหล่งที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างดีเยี่ยม การบริโภค Flaxseed สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่พบว่า Flaxseed ยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางประเภทได้อีกด้วย เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดแฟลกซ์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง อีกหนึ่งประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้ามของ Flaxseed คือการช่วยลดน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะเบาหวานประเภท 2 สารไฟเบอร์ใน Flaxseed จะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้ด้วย เพราะไฟเบอร์ใน Flaxseed ทำให้การขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น Flaxseed ยังมีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผม การบริโภค Flaxseed หรือใช้น้ำมัน Flaxseed เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะช่วยให้ผิวพรรณมีความชุ่มชื้น ลดอาการผิวแห้งและระคายเคือง อีกทั้งยังช่วยลดการขาดหลุดร่วงของเส้นผมและบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงขึ้น Flaxseed ในการดูแลสุขภาพของคุณการบริโภค Flaxseed เป็นประจำสามารถเสริมสร้างสุขภาพในหลายๆ ด้าน ไม่เพียงแต่ช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด แต่ยังช่วยบำรุงระบบย่อยอาหาร ลดอาการท้องผูก และเสริมสร้างผิวพรรณให้ดูสดใสและแข็งแรง หากคุณกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ Flaxseed ที่มีคุณภาพสูง เพื่อเสริมสร้างสุขภาพของคุณ เราขอแนะนำ น้ำมัน Flaxseed ที่มีการผลิตจากเมล็ด Flaxseed คุณภาพสูง ผ่านกระบวนการสกัดเย็นเพื่อรักษาคุณค่าทางโภชนาการไว้ได้เต็มที่ น้ำมัน Flaxseed นี้ไม่เพียงแต่ช่วยดูแลสุขภาพของหัวใจและระบบย่อยอาหาร แต่ยังสามารถบำรุงผิวพรรณและเส้นผมได้อย่างดีเยี่ยม