กลูต้าคอมเพล็กซ์ กับกลูต้าไธโอน ต่างจากอย่างไร

กลูต้าคอมเพล็กซ์ กับกลูต้าไธโอน ต่างจากอย่างไร

พฤศจิกายน 07, 2568

กลูต้าคอมเพล็กซ์ กับกลูต้าไธโอน ต่างจากอย่างไร    กลูต้าไธโอน ในรูปแบบอาหารเสริม ในความเข้าใจในอดีตคือ เมื่อรับประทานเข้าไปก็จะย่อยสลายเป็นโปรตีน ร่างกายไม่สามารถนำมาใช้ได้ ซึ่งก็เป็นความจริงในระดับหนึ่ง เพราะกลูตาไธโอนบริสุทธิ์ จะถูกเอนไซม์ในลำไส้แยกออกเป็นกรดอะมิโนก่อนร่างกายจะนำไปใช้สร้างกลูตาไธโอนใหม่นั่นเอง       แต่ความก้าวหน้าในปัจจุบัน Gluta-Complex ทำให้กลูตาไธโอนถูกดูดซึมได้ดีขึ้น ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ และผู้พัฒนาอาหารเสริมได้ปรับปรุงสูตร โดยเพิ่ม สารตั้งต้น (precursors)  และ ตัวช่วยดูดซึม (cofactors)  เข้าไปในสูตร ทำให้กลูตาไธโอนในรูปแบบ Gluta-Complex  มีประสิทธิภาพสูงกว่ากลูต้าบริสุทธิ์เดิมหลายเท่า  ⚙️ ส่วนประกอบหลักใน “Gluta-Complex” ส่วนผสมแอล-ซิสเทอีน (L-Cysteine)เป็นกรดอะมิโน สารตั้งต้น ที่ร่างกายใช้สร้างกลูตาไธโอนโดยตรงแอล-กลูตามีน (L-Glutamine)ช่วยเสริมพลังงานให้เซลล์ และเป็น สารตั้งต้น หลักของกลูตาไธโอนไกลซีน (Glycine)สารตั้งต้น ทำหน้าที่เชื่อมโครงสร้างของโมเลกุลกลูตาไธโอนวิตามินซี (Ascorbic Acid)ตัวช่วยดูดซึม ช่วยรีไซเคิลกลูตาไธโอนในร่างกาย และเพิ่มการดูดซึมซิงค์ (Zinc)ตัวช่วยดูดซึม ให้เอนไซม์ที่สร้างกลูตาไธโอนทำงานได้เต็มประสิทธิภาพสารเสริมต่าง ๆช่วยเสริมการทำงานของ กลูต้าไธโอน หรือช่วยเรื่องผิว  ส่วนประกอบกลูต้าคอมเพล็กซ์ กลุ่มสารตั้งต้นกลูต้าไธโอน (Precursors) 1.แอล-กลูตาไธโอน  ปกติร่างกายสร้างกลูตาไธโอนเองได้จากกรดอมิโน  3 ชนิด คือ กลูตามีน, ซิสเทอีน, ไกลซีนแต่ถ้าเครียด / เจ็บป่วย / ออกกำลังหนัก ร่างกายอาจสร้างได้ไม่เพียงพอกลูตาไธโอนยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่ใช้ในการสร้างเม็ดสีเมลานินกลูตาไธโอน ลดการผลิตเม็ดสีเข้ม (Eumelanin) และส่งเสริมเม็ดสีอ่อน (และส่งเสริมเม็ดสีอ่อน (Pheomelanin)กลูตาไธโอน ปกป้องผิวจากแสงแดด ช่วยป้องกันการถูกทำลายของเซลล์ผิวจากรังสี UV และมลภาวะลดการอักเสบระดับเซลล์ ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น ผิวแลดูกระจ่างใสขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ ดูมีออร่ามากขึ้นกลูตาไธโอนทำหน้าที่ รีไซเคิลวิตามินซีและอี ให้กลับมาใช้งานได้ใหม่ 2.แอล-ซิสเทอีน (L-Cysteine)  เป็น “สารตั้งต้น” ที่ช่วยให้ร่างกายสามารถผลิตกลูตาไธโอนช่วยลดการอักเสบของเซลล์ผิวจากรังสี UV และมลภาวะแอล-ซิสเทอีนเป็นส่วนประกอบหลักของเคราติน โปรตีนโครงสร้างเส้นใยองค์ประกอบหลักของ ผม เล็บ ขนL-Cysteine เป็นวัตถุดิบตั้งต้นของ Glutathione ช่วยให้ร่างกายสร้างกลูตาไธโอนได้เองตามธรรมชาติ 3.ไกลซีน (Glycine) มีบทบาทคือการซ่อมแซมเซลล์ผิว การสร้างคอลลาเจน และสารตั้งต้นการผลิตกลูตาไธโอนไกลซีนเป็นกรดอมิโนหลักในโครงสร้างคอลลาเจน ถึงกว่า 1/3 ของร่างกาย รวมเส้นผมและเนื้อเยื่อช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิว ทำให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายจากรังสี UV หรือสิวอักเสบดูเรียบเนียนขึ้นช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้ผิวแน่น กระชับ ลดเลือนริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวGlycine เป็นวัตถุดิบตั้งต้นของ Glutathione ช่วยให้ระดับกลูตาไธโอนในร่างกายคงที่ 4.แอล-กลูตามีน (L-Glutamine)  ซ่อมแซมเซลล์ ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ และเป็นสารตั้งต้นการผลิตกลูตาไธโอนL-Glutamine เป็นกรดอมิโนชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถสร้างได้เอง แต่ถ้าเครียด อ่อนเพลีย พักผ่อนน้อย ออกกำลังกายหนัก ร่างกายจะต้องการกลูตามีนเพิ่มมากขึ้น อาจผลิตไม่เพียงพอL-Glutamine ช่วยฟื้นฟูผิวและเสริมสร้างเซลล์ใหม่ ช่วยให้ร่างกายสร้างโปรตีนและเซลล์ผิวใหม่ได้รวดเร็วขึ้น ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เหมาะสำหรับมีผิวหมองคล้ำหรือฟื้นตัวช้า ช่วยให้ผิวแลดูสดใส สุขภาพดี เรียบเนียนจากภายในL-Glutamine เสริมระบบภูมิคุ้มกัน กลูตามีนเป็นแหล่งพลังงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว (Lymphocytes) L-Glutamine ส่งเสริมการดูดซึมวิตามินและสารอาหารสำคัญ เช่น วิตามินซี และกลูตาไธโอนL-Glutamine เป็นวัตถุดิบตั้งต้นของ Glutathione ช่วยให้ระดับกลูตาไธโอนในร่างกายคงที่ กลุ่มตัวช่วยดูดซึมกลูต้าไธโอน (cofactors) 1.ซิงค์ (Zinc) มีบทบาทในการ การสร้างเซลล์ผิว การสมานแผล การทำงานของภูมิคุ้มกันช่วยลดการเกิดสิว ควบคุมความมัน และเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายฟื้นฟูซ่อมแซมเซลล์ผิว ซิงค์ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว (T-Cell) ป้องกันการติดเชื้อในระบบผิวหนังZinc เป็นโคแฟกเตอร์ (Cofactor) ของเอนไซม์ที่ใช้สร้าง Glutathione ช่วยสร้าง/รีไซเคิล กลูตาไธโอน 2.แอล-แอสคอร์บิก แอซิด (Vitamin C) เป็นวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายวิตามินซี ช่วยยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดสีเมลานินวิตามินซี ช่วยเสริมการทำงานของกลูตาไธโอน เพิ่มความกระจ่างใส และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนวิตามินซีเป็น โคแฟกเตอร์ (Cofactor)ช่วยดูดซึมกลูตาไธโอนได้ดีขึ้น และช่วยรีไซเคิลกลูตาไธโอนในร่างกาย 3.ส้มสีเลือด (Blood Orange Extract) ส้มสายพันธุ์พิเศษที่มีเนื้อสีแดงเข้ม วิตามินซีสูงสีเลือดของส้มมาจาก แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินส่วนเกินแอนโทไซยานิน อุดมด้วยวิตามินซีและสารฟลาโวนอยด์ ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่ทำลายคอลลาเจนในผิวส้มสีเลือดมีฤทธิ์ Photoprotective Effect ซึ่งช่วยลดความเสียหายของผิวจากรังสี UVป้องกันการเกิดรอยไหม้แดด ฝ้า กระ และความหมองคล้ำสะสมจากแสงแดดเพิ่มการไหลเวียนโลหิตใต้ผิว ช่วยให้ผิวดูสดใส อมชมพู ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนวิตามินซีจากส้มสีเลือด ช่วยให้กลูต้าไธโอนทำงานได้ยาวนานขึ้น ลดการสร้างเม็ดสีเข้ม 4.สารสกัดจากอะเซโรล่า เชอร์รี่ วิตามินซีจากธรรมชาติแหล่งวิตามินซีธรรมชาติที่ช่วยให้ผิวแลดูเปล่งปลั่งและเสริมภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินเป็น “โคแฟกเตอร์” ในกระบวนการสร้างคอลลาเจนเสริมใช้ร่วมกับ Glutathione เป็นหนึ่งใน “สูตรเสริมฤทธิ์ผิวใส” ที่ปลอดภัยและเห็นผล กลุ่มตัวช่วยอื่นๆ  1.สารสกัดจากมะเขือเทศ มีไลโคปีน (Lycopene) ต้านอนุมูลอิสระสูงมาก เด่นเรื่องป้องกัน  UVไลโคปีน ปกป้องผิวจากรังสี UV จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “เกราะป้องกันผิวจากแสงแดด” ตามธรรมชาติไลโคปีนช่วยยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่ใช้ในการสร้างเม็ดสีเมลานินไลโคปีนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและอนุมูลอิสระในหลอดเลือด ส่งผลให้เลือดไหลเวียนดี ผิวพรรณเปล่งปลั่งGlutathione ยับยั้งเมลานิน + Lycopene ป้องกันแดด ผิวดูขาวใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 2.ผงสาหร่ายสีแดง (Red Algae Powder) มีแอสต้าแซนธิน สารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซี 6000 เท่าแอสตาแซนธินช่วยป้องกันการทำลายเซลล์ผิวจากรังสี UV ลดการอักเสบ ผิวไหม้จากรังสี UVB และ UVAแอสตาแซนธินยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดสีเมลานินแอสตาแซนธินกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแน่น กระชับทำงานร่วมกัน Glutathione แอสตาแซนธินเพิ่มคอลลาเจน / ลดการสร้างเม็ดสีผิว ผิวจึงดูแน่น กระจ่างใส 3.แอล-อาร์จินีน (L-Arginine)แอล-อาร์จินีนเป็นสารตั้งต้นของ ไนตริกออกไซด์ ซึ่งช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นเมื่อการไหลเวียนโลหิตดี ผิวจะได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น ส่งผลให้ผิวดูเปล่งปลั่ง สุขภาพดีแอล-อาร์จินีน ฟื้นฟูเซลล์ผิวและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ เร่งกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่เกิดขึ้นเร็วขึ้นแอล-อาร์จินีน ส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ให้ผิวแข็งแรง ยืดหยุ่น และลดการเกิดริ้วรอยแอล-อาร์จินีน เพิ่มการไหลเวียนเลือด ช่วยดูดซึม Glutathione  4.สารสกัดจากเมล่อน มีเอนไซม์ SOD (superoxide dismutase)SOD ช่วยลดความเครียดจากแสงแดดและมลภาวะ ต้านอนุมูลอิสระภายในร่างกายSOD มีฤทธิ์ ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันความเสียหายจากรังสี UV ลดการอักเสบ สนับสนุนภูมิคุ้มกันGlutathione และ SOD ทำงานร่วมกัน ช่วยลดเมลานิน เพิ่มผิวสว่าง ลดจุดด่างดำและเพิ่มคอลลาเจน 5.สารสกัดจากองุ่น มีโอลีกอเมริกโพรแอนโธไซยานิดินส์ (OPCs) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงสารสกัดจากองุ่น มีโพลีฟีนอลและเรสเวอราทรอล ช่วยชะลอวัยและเสริมความแข็งแรงของผิวสารสกัดจากองุ่น มีการทดลองพบว่า ช่วยลด “lipid peroxidation” (การถูกทำลายของไขมันในเซลล์)สารสกัดองุ่น มีงานวิจัยด้านการส่งเสริมการสมานแผล การทำงานของเซลล์ผิวสารสกัดจากองุ่น ช่วยลดความเสียหายของผิว, ลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ Glutathione ทำหน้าที่เป็นแอนติออกซิแดนท์หลักในเซลล์และ สารสกัดจากองุ่นช่วยลดการสร้างอนุมูลอิสระ  6.โคเอนไซม์ คิว10 (CoQ10)  ช่วยผลิตพลังงานในระดับเซลล์ และเป็นแอนติออกซิแดนท์CoQ10 ช่วยเสริมพลังงานให้เซลล์ผิวและลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัยCoQ10 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานของเซลล์ สนับสนุนผิวพรรณ / ต้านความแก่Glutathione และ CoQ10 ถูกใช้ร่วมกัน ช่วยกันในเรื่อง “คุณค่า/การดูดซึม/การทำงานเสริม” 7.เลซิติน (Lecithin) เป็นกลุ่มไขมันชนิดฟอสโฟลิปิด (phospholipids) ที่อยู่ในอาหาร เช่น ไข่แดงเลซิติน ช่วยดูแลระบบตับและลำไส้ ส่งเสริมการดูดซึมสารอาหารให้มีประสิทธิภาพเลซิตินมีส่วนประกอบของ choline สำคัญต่อโครงสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ การส่งสัญญาณระบบประสาทช่วยเรื่องความชุ่มชื้นของผิว หรือสมานแผลในบางกรณีช่วยเรื่องความชุ่มชื้นของผิว หรือสมานแผลในบางกรณีGlutathione เลซิตินและ choline “การดูแลแบบองค์รวม” ดีขึ้น (สร้างโครงสร้างเซลล์ + ปกป้อง + ซ่อมแซม) ดี-แอลฟา-โทโคฟีรอล อะซิเตท (Vitamin E) 10 มก.ป้องกันการเกิดริ้วรอยและช่วยให้ผิวชุ่มชื้นสารสกัดจากข้าว 10 มก.ช่วยให้ผิวเนียนละเอียดและมีความชุ่มชื้นผงรำข้าว 7.2 มก.อุดมด้วยวิตามินบีและสารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติ

รู้จักแคลเซียม แอล-ทรีโอเนต

รู้จักแคลเซียม แอล-ทรีโอเนต

กันยายน 04, 2568

แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต  - การดูแลสุขภาพกระดูกและฟันให้แข็งแรง เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง ร่างกายไม่สะสมแคลเซียม ตลอดจนผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน และผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ดังนั้นการเลือกชนิด ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแคลเซียมให้เหมาะสม จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ต่อตนเอง  แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต คืออะไรเป็นแร่ธาตุที่ มีส่วนช่วย ความหนาแน่นมวลกระดูก เสี่ยงกระดูกพรุน และสุขภาพฟันแคลเซียมในอาหารเสริม ที่พบบ่อย มี 3 ชนิดCalcium CarbonateCalCium CitrateCalcium L-Threonateแคลเซียม แอล-ทรีโอเนต เป็นแคลเซียมโมเลกุลเล็ก ร่างกายจึงสามารถละลายและดูดซึมได้ 90 - 95% แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต สกัดจากข้าวโพด จากขั้นตอน ได้วิตามินซี และส่วนประกอบของ กรดแอลทรีโอนิก (L-Threonic Acid) ซึ่งช่วยกระตุ้นการออกฤทธิ์ของวิตามินซีในร่างกาย ที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน และเพิ่มน้ำไขข้อ ขั้นตอนการผลิตแคลเซียม แอล-ทรีโอเนต      แคลเซียมทั่วไป ได้มาจาก หิน กระดูกสัตว์ เปลือกหอย แต่แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต ผลิตมาจากข้าวโพด โดยมีกรรมวิธีแป้งข้าวโพด (Corn starch) → ผ่านกระบวนการหมัก/เอนไซม์ → ได้ กลูโคส กลูโคส → หมักต่อด้วยแบคทีเรีย/จุลินทรีย์ → ได้ วิตามินซี (Ascorbic acid) วิตามินซี → ผ่านกระบวนการออกซิไดซ์บางส่วน → ได้ L-Threonic acid L-Threonic acid + Calcium salt → ได้ Calcium L-Threonate  แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต ต่างจากแคลเซียมฟอร่มอื่นๆ อย่างไร?การดูดซึมเข้าสู่ร่างกายไม่เท่ากัน แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต ดูดซึมได้ดีกว่า 6-9 เท่าถ้าดูดซึมได้ดี รับเข้าร่างกายจะใช้ปริมาณน้อยกว่า ถ้าดูดซึมได้น้อย เราต้องรับปริมาณมากขึ้น จึงจะเห็นผลเท่ากันผลข้างเคียง เช่นอาการท้องผูก ท้องอืดน้อยมาก ไม่จำเป็นต้องใช้กรดในกระเพาะสำหรับการดูดซึม จึงไม่จำเป็นต้องกินพร้อมมื้ออาหารเหมือนแคลเซียมชนิดอื่น  จากบทความ “เรื่องแคลเซียมต้องรู้” ของโรงพยาบาลกรุงเทพร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์แคลเซียมเองได้ สามารถหาแคลเซียมได้จาก 2 แหล่ง คืออาหาร หรืออาหารเสริมอาหารเสริมแคลเซียม มี 3 ตระกูล ดูจาก ‘นามสกุล’ ได้แก่Calcium ‘Carbonate’ ดูดซึมได้ 10% , มีอาการ ท้องอืด, ท้องผูก Calcium ‘Citrate’ ดูดซึมได้ 50% ต้องกินพร้อมอาหาร (ทำงานได้ต่อเมื่อมีกรดในกระเพาะเท่านั้น)Calcium ‘L Threonate’ ดูดซึมได้ 90% กินตอนท้องว่างได้   CarbonateCitrateL Threonateดูดซึม10%50%90%ปริมาณที่ใช้สูง 40%กลาง 21%น้อย 13%การดูดซึมพึ่งกรดในกระเพาะพึ่งกรดในกระเพราะกินเมื่อไหร่ก็ได้ผลข้างเคียงท้องผูกท้องอืดท้องผูกน้อยกว่าน้อยมากราคาถูกปานกลางสูง ข้อควรรู้แคลเซียมในรูปแบบอาหารเสริมควรเลือกชนิดดูดซึมได้ดี การกินแคลเซียมชนิดที่ดูดซึมไม่ดี อาจทำให้มีอาการท้องผูก  ท้องอืดไม่รับแคลเซียมมากเกินความจำเป็น เพราะอาจทำให้เกิดการสะสมของหินปูนในเต้านม ไต หลอดเลือดแคลเซียมควรทานควบคู่กับวิตามินดี จะช่วยยิ่งทำให้ลำไส้ดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้นVitamin D3 ช่วยดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ สนับสนุนกระดูก-กล้ามเนื้อ ช่วยให้แคลเซียมทำงานได้เต็มที่Vitamin K2 นำทางแคลเซียมไปที่เนื้อกระดูก ป้องกันไม่ให้แคลเซียมสะสมผิดที่ เช่นที่ หลอดเลือด หัวใจ หรือไตMagnesium ช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่และควบคุมไม่ให้แคลเซียมจับตัวเป็นก้อนผิดที่ เช่นหลอดเลือด ไตBoron ช่วยการดูดซึมแคลเซียม ลดการสูญเสียแคลเซียมทางปัสสาวะ ช่วยลดกระดูกพรุน กระดูกแข็งแรงขึ้นสารสกัดหญ้าหางม้า: แหล่งซิลิกา ให้ซิลิกา/ซิลิคอนซึ่งเป็นองค์ประกอบของเมทริกซ์กระดูก-คอลลาเจนCopper สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินร่วมกับวิตามีนซี ทำให้กระดูกและข้อต่อ แข็งแรง ยืดหยุ่น   ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละช่วงอายุอายุ < 40 ปี 800 mg / วัน = นม 3 – 4 แก้ววัยทอง (~50 ปี) 1000 mg / วัน = นม 4 – 5 แก้วผู้หญิงที่ตั้งครรภ์, อายุ > 60ปี 1200 mg / วัน = นม 6 – 7 แก้วผู้หญิงมีโอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนมากถึง 30  – 40% ส่วนผู้ชาย 10%10 ปีแรกหลังหมดประจำเดือน กระดูกจะบางลงเร็วมาก เกิดจากการขาดฮอร์โมนเพศหญิง หรือ Estrogen การเสริม Calcium จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพื่อช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุน แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต เหมาะกับใครวัยหมดประจำเดือน / อายุ 50+เสี่ยงมวลกระดูกลดลงจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ต่ำลงคนที่รับแคลเซียมจากอาหารไม่พอไม่ทานนม/ชีส/โยเกิร์ต, กินมังสวิรัติ/วีแกนแบบจำกัด หรือควบคุมอาหารคนที่ท้องอืดหรือไม่ถูกกับแคลเซียมรูปแบบอื่นL-Threonate มักอ่อนโยนต่อกระเพาะ ละลายได้ดีแม้กรดในกระเพาะน้อยผู้ที่มีความเสี่ยงกระดูกพรุน/กระดูกบางมีประวัติครอบครัว กระดูกหักง่าย เคยตรวจความหนาแน่นกระดูกต่ำ (T-score ต่ำ)ผู้ที่ใช้ยาหรือมีภาวะที่เร่งสลายกระดูกใช้สเตียรอยด์เรื้อรัง, ภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน, ขาดวิตามิน Dนักกีฬา/ผู้ที่ใช้งานร่างกายหนักเสี่ยงกระดูกล้า/กระดูกลาย (stress fracture) ต้องการซ่อมแซมเร็วผู้สูงอายุที่ดูดซึมได้ไม่ดีL-Threonate เหมาะเพราะดูดซึมได้ดีและไม่ต้องพึ่งกรดในกระเพาะมาก ใครที่ “ควรเลี่ยง” หรือ ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนภาวะแคลเซียมสูงในเลือด (Hypercalcemia)เช่น ภาวะพาราไทรอยด์ทำงานเกิน, ซาร์คอยโดซิสนิ่ว แคลเซียมออกซาเลต/ฟอสเฟต, โรคไตเรื้อรังระยะกลาง–ปลายใช้ยาบางชนิดที่มีปฏิกิริยากับแคลเซียมเช่น ยากลุ่มไทรอยด์ฮอร์โมน (levothyroxine), ยาปฏิชีวนะ tetracycline/quinolone,ยากระดูกพรุนกลุ่ม bisphosphonates — ควรแยกเวลาทานอย่างน้อย 2 ชม.หญิงตั้งครรภ์/ให้นมบุตร → ควรประเมินปริมาณกับแพทย์/พยาบาลก่อนแคลเซียมไม่ใช่ยา หรือวิธีรักษา โรคข้อเข่าเสื่อม (ไม่มีหลักฐานวิจัย สามารถซ่อมกระดูก ข้อเข่า ควรปรึกษาแพทย์) แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต ไม่ควรทานคู่กับอะไรบ้างสารเหตุผลธาตุเหล็กแคลเซียมยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็ก สังกะสีขนาดสูงแข่งกันดูดซึมในลำไส้ ทำให้การดูดซึมลดลงทั้งคู่ ควรเว้นระยะอย่างน้อย 2 ชั่วโมงไฟเบอร์ปริมาณสูงไฟเบอร์จับกับแคลเซียม ลดการดูดซึม ตกตะกอนไม่ถูกดูดซึม ควรเว้น 2 ชั่วโมงฟอสฟอรัส/ฟอสเฟตจับกับแคลเซียม กลายเป็น แคลเซียมฟอสเฟต ร่างกายดูดซึมไม่ไ่ด้  

สารอาหารบำรุงดวงตา

สารอาหารบำรุงดวงตา

กันยายน 04, 2568

สารอาหารบำรุงดวงตา - ทำไมลูทีน ซีแซนทีน สารสกัดบิลเบอร์รี่ และเบต้า-แคโรทีน ถึงสำคัญต่อดวงตา? ในยุคดิจิตัล เราใช้สายตากับหน้าจอหลายชั่วโมงต่อวัน ดวงตาต้องเผชิญกับแสงสีฟ้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ อาจทำให้เกิดอาการตาล้า ตาแห้ง ตาพร่ามัว การทานวิตามินบำรุงสายตา จึงเป็นสิ่งที่เราควรพิจารณา   1) ลูทีน (Lutein)ลูทีนในร่างกายจะสะสมอยู่มากบริเวณ “จุดรับภาพ (macula)” และ ”เรตินา (Retina)" ช่วยปกป้องจอประสาทตา macula ช่วยกรองแสงสีฟ้าปกป้องเนื้อเยื่อดวงตา ลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระลูทีนที่อยู่บริเวณผิวหนัง ช่วยเสริมสุขภาพผิว ให้ทนต่อรังสียูวีมากขึ้นลูทีนมักใช้คู่กับซีแซนทีนเพื่อเสริมกันร่างกายควรได้รับลูทีน 6–10 มก./วัน (แต่โดยทั่วไปผู้ที่บริโภคได้รับลูทีนเฉลี่ยเพียง 1.7 มก./วัน จากอาหาร)ถึงลูทีนไม่ใช่สารจำเป็น แต่ลูทีนที่ไปสะสมใน macula ถ้ามีไม่พอแล้วเป็นอย่างไร?ชั้นเม็ดสีปกป้องจอประสาทตาบางลง อาจไวต่อแสงสีน้ำเงินมากขึ้น ล้าตา/แสบตาง่ายเวลาใช้จอนาน ความไวคอนทราสต์และการฟื้นตัวจากแสงจ้าอาจแย่ลงเล็กน้อยระยะยาว: ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงจอประสาทตาเสื่อมอยู่แล้ว อาจเพิ่มโอกาสลุกลามได้มากกว่าเมื่อเทียบกับคนที่ได้เพียงพอ 2) ซีแซนทีน/ซาแซนทีน (Zeaxanthin)สะสมใน “จุดรับภาพ (macula)” ของจอประสาทตา คู่กับลูทีนช่วยเรื่อง การมองเห็นคมชัด และ ความทนต่อแสงจ้าเป็นคู่หูของลูทีน ทำหน้าที่คล้ายกันและอยู่บริเวณ macula เช่นกันทาน พร้อมมื้อหรือน้ำมันที่มีไขมันดี จะช่วยให้ดูดซึมลูทีน/ซีแซนทีนได้ดีกว่าร่างกายควรได้รับ ซีแซนทีน ราว 2–4 มก./วันซีแซนทีนไม่ใช่สารจำเป็นเช่นเดียวกับลูทีน แต่ถ้าได้รับไม่เพียงพออาจมีแนวโน้มอาจรับแสงจ้าได้น้อยลงฟื้นตัวจากแสงช้าลงมีแนวโน้มล้าตาง่ายขึ้นเมื่อจอนาน ๆ  3) สารสกัดจากบิลเบอร์รี่ (Bilberry extract)ช่วยดูแลหลอดเลือดเลี้ยงดวงตาช่วยเรื่อง ตาล้า/แห้ง ในบางส่วนของตาอุดมด้วย แอนโธไซยานิน (สารต้านอนุมูลอิสระ)ได้รับจากพืชตระกูลเบอรี่ร่างกายควรได้รับ บิลเบอร์รี่สกัดมาตรฐาน ราว 80–160 มก./วันถึงไม่ใช่สารอาหารจำเป็น แต่ถ้าขาด อาจพลาดประโยชน์จากสารแอนโธไซยานินขาดการช่วยลดอนุมูลอิสระขาดการสนับสนุนหลอดเลือดเลี้ยงตาล้าตาง่ายขึ้นเมื่อใช้สายตาหนัก (บางคน) 4) เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene)เกี่ยวข้องกับ การเห็นในที่มืด และ เสริมภูมิคุ้มกันเป็น Pro-vitamin A ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามิน Aได้รับจากอาหารธรรมชาติ เช่น แครอท ฟักทอง มันเทศ ฯลฯเป็นแหล่งวิตามินเอ ถ้าร่างกายขาดวิตามินเอมองเห็นในที่มืดแย่ลง (ตาฟางกลางคืน)ตาแห้ง แสบตา น้ำตาน้อย เยื่อบุตา–กระจกตาเสียหายถ้ารุนแรงผิว–เยื่อบุแห้ง ติดเชื้อง่าย ภูมิคุ้มกันถดถอย  วิธีทานให้ได้ผลคุ้มค่าทานพร้อมมื้อ โดยเฉพาะมื้อที่มีไขมันดี (ช่วยดูดซึม)สม่ำเสมอ: เม็ดสีในจอประสาทตาเพิ่มช้า ผลลัพธ์ต้องใช้เวลาคู่กับอาหารจริง: ผักใบเขียวเข้ม ข้าวโพด ไข่แดง แครอท ฟักทอง มันเทศ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่พักสายตา: 20-20-20 (ทุก 20 นาที มองไกล 20 ฟุต 20 วินาที) และปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะ ใคร “น่าจะได้ประโยชน์”คนใช้สายตาหนัก: ทำงานหน้าจอ, ชอบจ้องโทรศัพท์, ตาสู้แสงจ้า, ขับรถกลางคืนบ่อยผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ต้องการดูแลจอประสาทตาเพิ่มเติมคนที่กินผักผลไม้สีเข้มไม่พอในแต่ละวัน คำถามพบบ่อยถาม: กินแล้วตาดีขึ้นทันทีไหม?ตอบ: ไม่ใช่ผลทันที ต้องใช้เวลาสะสมและควบคู่กับพฤติกรรมดูแลสายตาถาม: ถ้ากินผักผลไม้เยอะอยู่แล้ว ยังต้องเสริมไหม?ตอบ: หลายคนพอจากอาหาร แต่ถ้าใช้สายตาหนัก/กินไม่พอ การเสริม “อาจ” ช่วยได้—ประเมินตามไลฟ์สไตล์และงบประมาณถาม: กินเวลาไหนดี?ตอบ: พร้อมอาหาร (มีไขมันดี) จะดูดซึมได้ดีกว่า  ข้อควรระวังสำคัญผู้สูบบุหรี่/เคยสูบบุหรี่: หลีกเลี่ยง “การเสริม” เบต้าแคโรทีนผู้ใช้ยาบางชนิด (เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด) หรือมีโรคตา/โรคเรื้อรัง → ปรึกษาแพทย์ก่อนอาหารเสริม ไม่รักษาโรค และ ไม่ทดแทน การตรวจสายตาและจอประสาทตาตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ References มาถนอมสายตากัน LUTEIN - YouTube: https://www.youtube.com/shorts/3uxlg8WEezEมิราเคิล ลูทีน พลัส ซีแซนธิน Shopee: https://shopee.co.th/product/81741185/43809582856 

ไฟเบอร์ดีท็อกซ์ – ทางเลือกเพื่อสุขภาพลำไส้ที่ดี

ไฟเบอร์ดีท็อกซ์ – ทางเลือกเพื่อสุขภาพลำไส้ที่ดี

มิถุนายน 10, 2568

ไฟเบอร์ดีท็อกซ์ – ทางเลือกเพื่อสุขภาพลำไส้ที่ดีการดูแลระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมคือการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทไฟเบอร์ดีท็อกซ์ ซึ่งช่วยส่งเสริมการทำงานของลำไส้และระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ ไฟเบอร์ดีท็อกซ์คืออะไร?ไฟเบอร์ดีท็อกซ์ เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบหลักคือ ใยอาหารหรือไฟเบอร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ช่วยให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้ยังช่วยลดการสะสมของสารพิษในร่างกาย และส่งเสริมสุขภาพโดยรวม ประโยชน์ของไฟเบอร์ดีท็อกซ์การบริโภคไฟเบอร์ดีท็อกซ์อย่างสม่ำเสมอสามารถนำมาซึ่งประโยชน์มากมาย เช่นส่งเสริมการขับถ่าย: ไฟเบอร์ช่วยเพิ่มปริมาณและความนุ่มของอุจจาระ ทำให้ขับถ่ายง่ายขึ้นลดความเสี่ยงของโรคลำไส้: การขับถ่ายที่เป็นปกติช่วยลดโอกาสการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับลำไส้ เช่น ริดสีดวงทวาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่ควบคุมน้ำหนัก: ไฟเบอร์ช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ลดการบริโภคอาหารส่วนเกิน ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ: ไฟเบอร์บางชนิดสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด  การเลือกใช้ไฟเบอร์ดีท็อกซ์เมื่อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ดีท็อกซ์ ควรพิจารณาส่วนประกอบที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย เช่นไฟเบอร์ละลายน้ำได้: ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและคอเลสเตอรอลไฟเบอร์ไม่ละลายน้ำ: ช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระและกระตุ้นการขับถ่ายพรีไบโอติก: ส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ การดูแลสุขภาพในยุคปัจจุบันด้วยไฟเบอร์ดีท็อกซ์การบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ด น้ำตาลสูง ไขมันสูง และการใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ ไฟเบอร์ดีท็อกซ์กลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่หลายคนเลือกใช้เพื่อชดเชยพฤติกรรมการกินที่ไม่สมดุล และฟื้นฟูสุขภาพลำไส้ให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ไฟเบอร์ดีท็อกซ์เหมาะกับใคร?ผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ดีท็อกซ์เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่าย เช่น ท้องผูกบ่อย รู้สึกแน่นท้อง ลำไส้ไม่เคลื่อนไหวเป็นปกติ หรือแม้กระทั่งผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและต้องการลดการดูดซึมไขมันส่วนเกิน ผู้ที่มีปัญหาเรื่องผิวพรรณ เช่น ผิวหมองคล้ำ เป็นสิวจากสารพิษที่สะสมในร่างกายก็สามารถใช้ไฟเบอร์ดีท็อกซ์เป็นตัวช่วยในการดีท็อกซ์สารพิษจากภายในได้เช่นกัน แนวโน้มของผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ดีท็อกซ์ในตลาดสุขภาพจากข้อมูลตลาดสุขภาพในปัจจุบัน พบว่าไฟเบอร์ดีท็อกซ์ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานและกลุ่มคนรักสุขภาพ เพราะมีงานวิจัยมากมายที่สนับสนุนว่า “สุขภาพลำไส้ที่ดีนำไปสู่สุขภาพโดยรวมที่ดี” ไฟเบอร์ดีท็อกซ์จึงไม่ใช่แค่การช่วยขับถ่ายเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อภูมิคุ้มกัน ผิวพรรณ และแม้แต่สภาพอารมณ์ของเราอีกด้วย

ไฟเบอร์คอลลาเจนเสริมสุขภาพและความงามจากภายในสู่ภายนอก

ไฟเบอร์คอลลาเจนเสริมสุขภาพและความงามจากภายในสู่ภายนอก

มิถุนายน 09, 2568

ไฟเบอร์คอลลาเจนเสริมสุขภาพและความงามจากภายในสู่ภายนอกการดูแลร่างกายให้สมบูรณ์และมีสุขภาพดีเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หนึ่งในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันคือ ไฟเบอร์คอลลาเจน ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างไฟเบอร์และคอลลาเจน เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีและผิวพรรณที่เปล่งปลั่งไฟเบอร์คอลลาเจนคืออะไร?ไฟเบอร์คอลลาเจน เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่รวมคุณประโยชน์ของไฟเบอร์และคอลลาเจนไว้ในหนึ่งเดียว ไฟเบอร์ช่วยในการขับถ่ายและการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ในขณะที่คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สำคัญต่อการรักษาความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นของผิวหนัง รวมถึงการเสริมสร้างกระดูกและข้อต่อ ประโยชน์ของไฟเบอร์คอลลาเจนการบริโภคไฟเบอร์คอลลาเจนเป็นประจำสามารถช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์หลายประการ ได้แก่:ส่งเสริมสุขภาพผิว: คอลลาเจนช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นของผิว ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์สนับสนุนการทำงานของระบบทางเดินอาหาร: ไฟเบอร์ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ลดอาการท้องผูก และส่งเสริมสุขภาพลำไส้เสริมสร้างกระดูกและข้อต่อ: คอลลาเจนมีบทบาทในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและข้อต่อ ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน: ไฟเบอร์ช่วยในการรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์คอลลาเจนที่น่าสนใจหนึ่งในผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์คอลลาเจนที่ได้รับความนิยม ซึ่งมีจุดเด่นในการรวมไฟเบอร์และคอลลาเจนไว้ในซองเดียว โดยมีส่วนผสมของคอลลาเจนไดเปปไทด์และไตรเปปไทด์ที่ช่วยในการดูดซึมและเสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกาย วิตามินซี นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น อะเซโรล่าเชอรี่ซึ่งเป็นวิตามินซีจากธรรมชาติ แอล-ซิสเทอีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นของกลูตาไธโอน สารสกัดจากมะเขือเทศ และสารสกัดจากทับทิม ที่ช่วยในการบำรุงผิวและลดการอักเสบ วิธีการบริโภคไฟเบอร์คอลลาเจนการบริโภคไฟเบอร์คอลลาเจนควรทำอย่างสม่ำเสมอ โดยสามารถผสมผงไฟเบอร์คอลลาเจนกับน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มที่ชื่นชอบ และดื่มวันละ 1-2 ครั้ง เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน และควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ร่วมด้วย คำแนะนำในการเลือกซื้อไฟเบอร์คอลลาเจนเมื่อเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์คอลลาเจน ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ส่วนผสมที่ใช้ ความปลอดภัย และการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัยต่อสุขภาพ ผลลัพธ์ที่ลูกค้าสามารถคาดหวังได้ผู้ที่บริโภคไฟเบอร์คอลลาเจนอย่างต่อเนื่องมักจะพบว่า ระบบขับถ่ายดีขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรก โดยไม่มีอาการปวดบิดหรือถ่ายบ่อยเกินไป ผิวพรรณจะเริ่มดูสดใส เปล่งปลั่ง เนื่องจากลำไส้ที่สะอาดมีผลต่อระบบการดูดซึมสารอาหาร รวมถึงมีผลโดยตรงต่อการลดสิว ฝ้า และความหมองคล้ำ สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ผิวลอก หรือริ้วรอยเริ่มลึก ไฟเบอร์คอลลาเจนที่มีคอลลาเจนเข้มข้นจะช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นจากภายในสู่ภายนอก ทำให้ผิวดูอิ่มฟู น่าสัมผัส และเมื่อใช้ควบคู่กับการดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม จะยิ่งเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น กลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์คอลลาเจนผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบขับถ่าย เช่น ท้องผูกเป็นประจำผู้ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพผิวและความงามผู้ที่อายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป ซึ่งคอลลาเจนในร่างกายเริ่มลดลงคนทำงานที่มีความเครียด พักผ่อนน้อย และรับประทานอาหารไม่เป็นเวลาผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนักและต้องการดีท็อกซ์ร่างกาย 

แคลเซียมแอลทรีโอเนต ทางเลือกใหม่เพื่อสุขภาพกระดูกที่แข็งแรง

แคลเซียมแอลทรีโอเนต ทางเลือกใหม่เพื่อสุขภาพกระดูกที่แข็งแรง

มิถุนายน 08, 2568

แคลเซียมแอลทรีโอเนต ทางเลือกใหม่เพื่อสุขภาพกระดูกที่แข็งแรงในยุคที่ผู้คนให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น การดูแลกระดูกให้แข็งแรงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน แคลเซียมแอลทรีโอเนต จึงกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจในการเสริมสร้างสุขภาพกระดูกอย่างมีประสิทธิภาพ แคลเซียมแอลทรีโอเนตคืออะไร?แคลเซียมแอลทรีโอเนตเป็นเกลือแคลเซียมของกรดแอลทรีโอนิก ซึ่งเป็นสารเมตาบอไลต์ของวิตามินซี มีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายได้ดีกว่าแคลเซียมรูปแบบอื่นๆ ประโยชน์ของแคลเซียมแอลทรีโอเนตต่อสุขภาพกระดูกการศึกษาในอาสาสมัครชาวจีนพบว่า แคลเซียมแอลทรีโอเนตสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว โดยมีการดูดซึมที่ดีขึ้นเมื่อรับประทานพร้อมอาหาร นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า แคลเซียมแอลทรีโอเนตช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก และลดการสลายของกระดูกในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน ความปลอดภัยในการใช้แคลเซียมแอลทรีโอเนตจากการศึกษาทางคลินิก พบว่าแคลเซียมแอลทรีโอเนตมีความปลอดภัยสูง โดยไม่มีรายงานผลข้างเคียงที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มรับประทานอาหารเสริมใดๆ ทำไมควรเลือกแคลเซียมแอลทรีโอเนตจาก MSPMSP เป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แคลเซียมแอลทรีโอเนตคุณภาพสูง ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากล เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดจากการดูแลสุขภาพกระดูก คำแนะนำในการรับประทานสำหรับผู้ใหญ่ แนะนำให้รับประทานแคลเซียมแอลทรีโอเนตวันละ 2-3 ครั้ง พร้อมอาหาร เพื่อเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ กลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมกับการรับประทานแคลเซียมแอลทรีโอเนตแคลเซียมแอลทรีโอเนตไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น แม้จะเป็นกลุ่มที่ต้องการเสริมสุขภาพกระดูกอย่างมาก แต่กลุ่มเป้าหมายที่ควรพิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์นี้ยังรวมถึงวัยทำงานที่มีพฤติกรรมการนั่งทำงานเป็นเวลานาน และไม่ค่อยออกกำลังกายผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งเสี่ยงต่อการสูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็วผู้ที่ออกกำลังกายหนัก ต้องการการฟื้นฟูร่างกายและกระดูกผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงพักฟื้นจากการแตกหักของกระดูกผู้ที่แพ้หรือลำไส้ไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมจากรูปแบบทั่วไปได้ดี การเสริมแคลเซียมที่เหมาะสมจะช่วยชะลอการเสื่อมของกระดูกในระยะยาว ป้องกันการเกิดภาวะกระดูกพรุนในอนาคต และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จุดแข็งของแคลเซียมแอลทรีโอเนตเมื่อเทียบกับแคลเซียมรูปแบบอื่นหากคุณเคยรับประทานแคลเซียมคาร์บอเนตหรือแคลเซียมซิเตรตแล้วพบว่ามีอาการท้องอืดหรือการดูดซึมไม่ดี แคลเซียมแอลทรีโอเนตถือเป็นอีกหนึ่งคำตอบที่ควรลอง เพราะ เป็นแคลเซียมที่ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ดีกว่ารูปแบบทั่วไปไม่มีผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารมีโอกาสสะสมแคลเซียมในกระดูกมากกว่า ไม่สะสมในหลอดเลือดปลอดภัยต่อผู้ที่มีปัญหาไตหรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วคุณสมบัติเหล่านี้ทำให้แคลเซียมแอลทรีโอเนตโดดเด่นเหนือกว่าทางเลือกอื่น และกลายเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์มากขึ้นเรื่อยๆ 

คอลลาเจนไทป์ทู สารอาหารสำคัญในการบำรุงข้อและกระดูก

คอลลาเจนไทป์ทู สารอาหารสำคัญในการบำรุงข้อและกระดูก

มิถุนายน 07, 2568

คอลลาเจนไทป์ทู สารอาหารสำคัญในการบำรุงข้อและกระดูกวงการสุขภาพและความงาม คอลลาเจนถือเป็นสารอาหารที่หลายคนรู้จักดี แต่สำหรับผู้ที่สนใจในการบำรุงข้อและกระดูก คอลลาเจนไทป์ทู (Type II Collagen) กลับเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม คอลลาเจนไทป์ทูเป็นประเภทของคอลลาเจนที่พบมากในกระดูกอ่อนและมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างและดูแลสุขภาพของข้อต่อ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการข้อเสื่อม ข้ออักเสบ หรือผู้สูงอายุที่เริ่มมีการเสื่อมสภาพของข้อต่อ คอลลาเจนไทป์ทู คืออะไร?คอลลาเจนไทป์ทู เป็นคอลลาเจนประเภทหนึ่งที่พบมากในกระดูกอ่อนของร่างกาย โดยเฉพาะในข้อต่อที่มีบทบาทในการเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้กับข้อต่อ คอลลาเจนไทป์ทูจึงมีความสำคัญอย่างมากในการรักษาความแข็งแรงของข้อต่อและกระดูกอ่อน การบริโภคคอลลาเจนไทป์ทูมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูและบำรุงข้อและกระดูกให้แข็งแรงขึ้น คอลลาเจนไทป์ทูแตกต่างจากคอลลาเจนไทป์หนึ่งที่พบในผิวหนัง กระดูก และเอ็น คอลลาเจนไทป์ทูจะเน้นการบำรุงข้อและกระดูกอ่อนโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญในการรองรับการเคลื่อนไหวและลดการเสียดสีของข้อต่อ ประโยชน์ของคอลลาเจนไทป์ทูหนึ่งในประโยชน์หลักของคอลลาเจนไทป์ทูคือการช่วยลดอาการของโรคข้อเสื่อม ซึ่งเป็นภาวะที่ข้อต่อเสื่อมสภาพและทำให้เกิดการอักเสบ การรับประทานคอลลาเจนไทป์ทูสามารถช่วยฟื้นฟูและเพิ่มความยืดหยุ่นของกระดูกอ่อนในข้อต่อ ช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบได้เป็นอย่างดี การศึกษาหลายชิ้นได้แสดงให้เห็นว่า การรับประทานคอลลาเจนไทป์ทูสามารถช่วยเพิ่มการสร้างกระดูกอ่อนและลดการเสื่อมสภาพของข้อต่อได้ ทำให้ข้อต่อทำงานได้ดีขึ้น ลดอาการเจ็บปวด และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีอาการข้อเสื่อม คอลลาเจนไทป์ทูยังมีส่วนช่วยในการบำรุงกระดูกและกระดูกอ่อน ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแรงและป้องกันการบาดเจ็บจากการใช้งานข้อต่อเป็นเวลานาน การบริโภคคอลลาเจนไทป์ทูจะทำให้ร่างกายสามารถรักษาสุขภาพของข้อต่อได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้การเคลื่อนไหวร่างกายทำได้อย่างสะดวกและไร้ข้อจำกัด การใช้คอลลาเจนไทป์ทูในชีวิตประจำวันการรับประทานคอลลาเจนไทป์ทูสามารถทำได้หลายวิธี โดยผลิตภัณฑ์คอลลาเจนไทป์ทูในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ ทั้งในรูปของผง คอลลาเจนไทป์ทูชนิดแคปซูล หรือแม้แต่ในรูปของเครื่องดื่มเสริมอาหาร โดยปกติแล้วผลิตภัณฑ์คอลลาเจนไทป์ทูจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงในการบำรุงข้อและกระดูก สำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงข้อและกระดูกอย่างต่อเนื่อง การบริโภคคอลลาเจนไทป์ทูทุกวันในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและยืดหยุ่นของข้อต่อ ทำให้คุณสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระและไม่รู้สึกเจ็บปวดจากการเสียดสีของข้อต่อ วิธีเลือกคอลลาเจนไทป์ทูการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคอลลาเจนไทป์ทูคุณภาพ จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพข้อและกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลิตภัณฑ์ของเราได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์สูงสุดในการเสริมสร้างสุขภาพในระยะยาว คอลลาเจนไทป์ทูเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการบำรุงข้อและกระดูกอ่อน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาความแข็งแรงของข้อต่อและกระดูกในร่างกาย การบริโภคคอลลาเจนไทป์ทูอย่างต่อเนื่องสามารถช่วยลดอาการปวดข้อและข้อเสื่อมได้ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและป้องกันการเสื่อมสภาพของข้อต่อในระยะยาว 

น้ำมันกระเทียม ประโยชน์ที่คุณไม่ควรมองข้ามในการดูแลสุขภาพ

น้ำมันกระเทียม ประโยชน์ที่คุณไม่ควรมองข้ามในการดูแลสุขภาพ

มิถุนายน 06, 2568

น้ำมันกระเทียม ประโยชน์ที่คุณไม่ควรมองข้ามในการดูแลสุขภาพในยุคที่หลายๆ คนหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเพื่อเสริมสร้างสุขภาพและบำรุงร่างกายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ถูกพูดถึงอย่างมากในช่วงนี้คือ "น้ำมันกระเทียม" ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่มีคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์มากมายต่อร่างกาย น้ำมันกระเทียมไม่เพียงแต่เป็นเครื่องปรุงที่เพิ่มรสชาติให้กับอาหาร แต่ยังมีคุณสมบัติในการดูแลสุขภาพในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและการลดการอักเสบ ในการเลือกซื้อน้ำมันกระเทียม ควรคำนึงถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นหลัก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการสกัดเย็นหรือกระบวนการผลิตที่รักษาคุณค่าของกระเทียมไว้ได้อย่างเต็มที่ น้ำมันกระเทียมที่ดีจะต้องมีความเข้มข้นสูงและไม่มีสารเคมีหรือสารกันบูดที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์น้ำมันกระเทียมจาก MSP Thailand มีคุณสมบัติที่โดดเด่นในด้านการรักษาคุณค่าทางโภชนาการ เนื่องจากใช้น้ำมันกระเทียมที่สกัดจากกระเทียมสดที่มีคุณภาพ ซึ่งช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้ผลิตภัณฑ์นี้เพื่อดูแลสุขภาพและเสริมภูมิคุ้มกัน น้ำมันกระเทียมสามารถใช้ได้หลากหลายรูปแบบและเหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการดูแลสุขภาพในรูปแบบที่ง่ายและสะดวก หากชอบทานอาหารที่มีรสชาติพิเศษ การเติมน้ำมันกระเทียมลงในสลัด น้ำซุป หรือซอสต่างๆ จะช่วยเพิ่มความหอมและรสชาติที่มีเอกลักษณ์ พร้อมทั้งได้ประโยชน์จากสารอาหารที่มีอยู่ในน้ำมันกระเทียม อีกวิธีหนึ่งที่สามารถใช้ได้คือการบริโภคน้ำมันกระเทียมในรูปแบบของอาหารเสริม โดยสามารถรับประทานในปริมาณที่แนะนำเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและบำรุงร่างกาย การทานน้ำมันกระเทียมในรูปแบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยดูแลสุขภาพทั่วไป แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ ที่อาจเกิดจากการอักเสบ หรือการติดเชื้อ น้ำมันกระเทียมกับการดูแลสุขภาพระยะยาวการดูแลสุขภาพในระยะยาวนั้นไม่เพียงแต่ต้องการการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง แต่ยังต้องมีการบำรุงร่างกายจากภายในและภายนอก น้ำมันกระเทียมจึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเสริมสร้างสุขภาพจากภายในโดยไม่ต้องใช้สารเคมีหรือยาที่มีผลข้างเคียง การทานน้ำมันกระเทียมเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น และผิวพรรณดูสดใสขึ้น การใช้ในระยะยาวยังช่วยให้ร่างกายสามารถป้องกันและฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บและการติดเชื้อ รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือแม้กระทั่งโรคมะเร็งบางประเภท น้ำมันกระเทียมจึงถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืน น้ำมันกระเทียม คืออะไร?น้ำมันกระเทียมทำมาจากการสกัดสารจากกระเทียมที่มีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงร่างกาย กระเทียม เป็นสมุนไพรที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย เช่น ซัลเฟอร์ ไอโอดีน วิตามิน C และแร่ธาตุต่างๆ น้ำมันกระเทียมจะได้จากการสกัดสารจากกระเทียมสดหรือจากการนำกระเทียมมาแปรรูปให้อยู่ในรูปของน้ำมัน เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกและเพิ่มความเข้มข้นของสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย น้ำมันกระเทียมมีสารประกอบที่มีประโยชน์ เช่น อัลลิซิน ซึ่งเป็นสารที่ให้กลิ่นหอมและมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อจุลินทรีย์ ช่วยในการป้องกันการติดเชื้อ และยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้อีกด้วย ประโยชน์ของน้ำมันกระเทียมน้ำมันกระเทียมเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะในการช่วยเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมและป้องกันโรคต่างๆ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: น้ำมันกระเทียมช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เนื่องจากสารอัลลิซินในกระเทียมมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อจุลินทรีย์ ทั้งแบคทีเรียและไวรัส ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในร่างกายและช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคหวัดและไข้หวัดใหญ่ ลดความดันโลหิต: น้ำมันกระเทียมช่วยลดระดับความดันโลหิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาได้แสดงให้เห็นว่าการบริโภคน้ำมันกระเทียมสามารถช่วยลดความดันโลหิตในผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงได้ การทำงานนี้เกิดจากสารประกอบในกระเทียมที่ช่วยขยายหลอดเลือดและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอล: น้ำมันกระเทียมช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ในเลือด โดยการช่วยลดการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจ ป้องกันโรคมะเร็ง: น้ำมันกระเทียมยังมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งและลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางประเภท เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านม บำรุงสุขภาพผิว: การใช้ น้ำมันกระเทียมช่วยบำรุงสุขภาพผิวได้โดยการลดการอักเสบและลดการเกิดสิว เนื่องจากน้ำมันกระเทียมมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ซึ่งสามารถช่วยรักษาผิวจากการอักเสบที่เกิดจากสิวหรือการระคายเคืองต่างๆ ช่วยในการย่อยอาหาร: น้ำมันกระเทียมช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และช่วยให้การย่อยอาหารเป็นไปได้ดีขึ้น ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้น้ำมันกระเทียมในชีวิตประจำวันการใช้น้ำมันกระเทียมสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การทานน้ำมันกระเทียมในรูปแบบอาหารเสริม หรือการนำไปใช้เป็นส่วนผสมในอาหารต่างๆ การบริโภคน้ำมันกระเทียมในรูปแบบอาหารเสริมจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารสำคัญจากกระเทียมในปริมาณที่เหมาะสม หากใช้ในรูปแบบของเครื่องดื่มหรืออาหาร น้ำมันกระเทียมจะช่วยเสริมรสชาติและเพิ่มประโยชน์ในการดูแลสุขภาพ เลือกน้ำมันกระเทียมคุณภาพหากคุณกำลังมองหาผลิตภัณฑ์น้ำมันกระเทียมที่มีคุณภาพสูงเพื่อบำรุงสุขภาพ แนะนำน้ำมันกระเทียม ที่มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างสุขภาพและเพิ่มพลังให้กับร่างกาย สกัดจากกระเทียมสดที่ผ่านกระบวนการผลิตอย่างพิถีพิถันเพื่อรักษาคุณค่าสารอาหารที่มีประโยชน์ไว้ได้อย่างครบถ้วน 

Flaxseed สุขภาพที่คุณไม่ควรมองข้าม

Flaxseed สุขภาพที่คุณไม่ควรมองข้าม

มิถุนายน 05, 2568

Flaxseed สุขภาพที่คุณไม่ควรมองข้ามในปัจจุบันที่ผู้คนให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพอย่างยั่งยืน การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเพื่อเสริมสร้างสุขภาพจึงกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมในวงกว้าง หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ถือเป็นพันธมิตรสำคัญต่อสุขภาพก็คือ “Flaxseed” หรือ “เมล็ดแฟลกซ์” ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการที่สูงและประโยชน์มากมายต่อร่างกายของเรา Flaxseed คือ เมล็ดจากพืชแฟลกซ์ซึ่งเป็นแหล่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 และไฟเบอร์ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการดูแลร่างกายและสุขภาพของเรา เมล็ดแฟลกซ์สามารถนำมาใช้ได้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น เมล็ดทั้งเมล็ด, ผง Flaxseed, หรือ น้ำมัน Flaxseed ที่สามารถนำมาทานในหลายๆ ลักษณะเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร การเลือกใช้ Flaxseed ในชีวิตประจำวันนั้นไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดี แต่ยังสามารถช่วยปรับสมดุลของระบบภายในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับประโยชน์ของ Flaxseed และเหตุผลที่ควรนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพในแต่ละวัน ประโยชน์ของ FlaxseedFlaxseed ถือเป็นแหล่งที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างดีเยี่ยม การบริโภค Flaxseed สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่พบว่า Flaxseed ยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางประเภทได้อีกด้วย เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดแฟลกซ์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง อีกหนึ่งประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้ามของ Flaxseed คือการช่วยลดน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะเบาหวานประเภท 2 สารไฟเบอร์ใน Flaxseed จะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้ด้วย เพราะไฟเบอร์ใน Flaxseed ทำให้การขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น Flaxseed ยังมีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผม การบริโภค Flaxseed หรือใช้น้ำมัน Flaxseed เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะช่วยให้ผิวพรรณมีความชุ่มชื้น ลดอาการผิวแห้งและระคายเคือง อีกทั้งยังช่วยลดการขาดหลุดร่วงของเส้นผมและบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงขึ้น Flaxseed ในการดูแลสุขภาพของคุณการบริโภค Flaxseed เป็นประจำสามารถเสริมสร้างสุขภาพในหลายๆ ด้าน ไม่เพียงแต่ช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด แต่ยังช่วยบำรุงระบบย่อยอาหาร ลดอาการท้องผูก และเสริมสร้างผิวพรรณให้ดูสดใสและแข็งแรง หากคุณกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ Flaxseed ที่มีคุณภาพสูง เพื่อเสริมสร้างสุขภาพของคุณ เราขอแนะนำ น้ำมัน Flaxseed ที่มีการผลิตจากเมล็ด Flaxseed คุณภาพสูง ผ่านกระบวนการสกัดเย็นเพื่อรักษาคุณค่าทางโภชนาการไว้ได้เต็มที่ น้ำมัน Flaxseed นี้ไม่เพียงแต่ช่วยดูแลสุขภาพของหัวใจและระบบย่อยอาหาร แต่ยังสามารถบำรุงผิวพรรณและเส้นผมได้อย่างดีเยี่ยม