ซิงค์วิธีการใช้ซิงค์ในการรักษาสิว

ซิงค์วิธีการใช้ซิงค์ในการรักษาสิว

มีนาคม 18, 2568

ประโยชน์ของการเสริมสังกะสี (Zinc)     ซิงค์ ( ZINC ) หรือสังกะสี เป็นแร่ธาตุในกลุ่มธาตุปริมาณน้อย หรือ Trace Minerals เป็นแร่ธาตุที่ใช้ในกระบวนการของร่างกายเพื่อนำไปใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาร่วมกับเอนไซม์ต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อการทำงานของอวัยวะ เช่น การสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ การทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกาย การรักษาแผลจากสิวอักเสบ เป็นต้น หากได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอร่างกาย  อาจส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายทำงานไม่เป็นปกติ สังกะสีพบได้ในทุกๆ เซลล์ของร่างกายและยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของเอนไซม์กว่า 100 ชนิด อีกทั้ง ยังมีความจำเป็นต่อสุขภาพของระบบภูมิคุ้มกันโดยรวมช่วยในการรักษาบาดแผลให้หายเร็วขึ้นและยังช่วยให้พัฒนาการในวัยเด็กและหนุ่มสาวเป็นไปอย่างปกติ ซิงค์สามารถรักษาสิวได้ จริงๆหรือไม่ในความเป็นจริงแล้วซิงค์หรือสังกะสีไม่ได้มีผลในการรักษาสิวโดยตรง เพียงแต่สังกะสีสามารถช่วยรักษาสมดุลของต่อมไขมันและปริมาณไขมันที่ผลิตออกมาบนผิวหนังได้ จึงสามารถช่วยลดการอุดตันของไขมันที่เป็นสาเหตุของสิวอีกทั้งสังกะสียังมีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆของผิวหนังทำให้แผลหายเร็วขึ้นและการอักเสบของแผลสิว ก็ลดน้อยลง ดังนั้นซิงค์จึงช่วยทำให้รู้สึกว่าแผลสิวหายเร็ว รอยดำรอยแดงก็จางเร็วขึ้นมากที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ควรรับประทาน ซิงค์ (Zinc) พร้อมกับนมหรืออาหารที่มีแคลเซียมสูง เพราะแคลเซียมจะเป็นตัวขัดขวางการดูดซึมของ ซิงค์ แต่ถ้าหากรับประทานตอนท้องว่างแล้วรู้สึกไม่สบายท้อง ก็อาจทานพร้อมกับอาหารก็ได้แต่อาจได้รับผลจากยาไม่ดีเท่าที่ควรเพื่อให้สามารถรับประทานซิงค์ ได้โดยไม่เกิดปัญหา นอกจากนี้ซิงค์ ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือนหลังจากที่รับประทานเข้าไปแล้ว จึงจะให้ผลที่ชัดเจนโดยทั่วไปร่างกายได้รับแร่ธาตุซิงค์จากการรับประทานอาหารเป็นปกติอยู่แล้วแต่อาจพบภาวะการขาดซิงค์ได้ในบางคนซึ่งมีปัญหาในเรื่องระบบการการดูดซึมสารอาหารต่างๆ ภายในร่างกายโดยปริมาณความต้องการสังกะสีของแต่ละคนจะแตกต่างกันไปตามเพศ วัยและช่วงอายุ แต่โดยปกติแล้วไม่ควรรับประทานเกิน 40 mg./วัน เพราะหากร่างกายได้รับสังกะสีในปริมาณที่มากเกินไปอาจจะไปรบกวนการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายได้ และอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย เป็นต้นดังนั้นการรับประทานซิงค์ติดต่อกันเป็นเวลานานควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ เพราะถึงแม้จะช่วยรักษาสิว ทั้งสิวอักเสบ และแผลจากสิวอักเสบ ก็ตาม แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงถ้าทานมากเกินไป Zinc สังกะสี สังกะสีเป็นธาตุอาหารรองที่สิ่งมีชีวิตและกระบวนการชีวภาพต้องการ เนื่องจากร่างกาย ไม่สามารถสะสมสังกะสี ได้ จึงจำเป็นต้องได้รับอย่างสม่ำเสมอจากอาหาร [1] ในร่างกายมนุษย์ สังกะสีพบใน กล้ามเนื้อ (60%) กระดูก (30%) และผิวหนัง (5%) สังกะสีเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเอนไซม์และโปรตีนหลากหลายชนิด และช่วยในการดูดซึมวิตามิน A, E และโฟเลต ระดับสังกะสีต่ำสัมพันธ์กับโอกาสเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อการติดเชื้อและพยาธิสภาพเสื่อม นอกจากนี้ สังกะสียังมีบทบาทสำคัญต่อ การทำงานทางจิตสังคมของพฤติกรรมมนุษย์ [2]ภาวะขาดสังกะสี ซึ่งกำหนดโดยระดับสังกะสีในพลาสมาต่ำกว่า 60 µg/dL จะเกินความสามารถการควบคุมของกลไกสมดุลภายใน (homeostasis) จนอาจเกิดอาการทางคลินิกได้ สาเหตุของการขาดสังกะสี ได้แก่ การได้รับไม่เพียงพอ การดูดซึมลดลง การสูญเสียเพิ่มขึ้น หรือความต้องการที่สูงขึ้น นอกจากนี้อาจเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น Acrodermatitis enteropathica และ โรคเคียว (sickle cell disease) การได้รับสังกะสีไม่พอเพียงเนื่องจากอาหารที่ขาดสังกะสีหรืออาหารที่ ฟิเตตสูง เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการขาดสังกะสีทั่วโลก กลุ่มเสี่ยงคือผู้ที่มีความต้องการทางสรีรวิทยาสูง โดยเฉพาะ ผู้สูงอายุ ซึ่งมีการดูดซึมลดลงตามวัยและคุณภาพอาหารด้อยลง [3]อาการของ การขาดสังกะสีรุนแรงในผู้ชาย ได้แก่ ผื่นตุ่มพอง-ตุ่มหนอง (bullous-pustular dermatitis) ผมร่วง ท้องเสีย น้ำหนักลด การติดเชื้อแทรกซ้อน และภาวะฮอร์โมนเพศชายบกพร่อง (hypogonadism) ภาวะขาดสังกะสีรุนแรงที่ไม่ถูกวินิจฉัยอาจถึงแก่ชีวิตได้ อาการของ การขาดระดับปานกลาง ได้แก่ การเจริญเติบโตช้า วัยเจริญพันธุ์ล่าช้า hypogonadism ในผู้ชาย ผิวหยาบ เบื่ออาหาร แผลหายช้า และผิดปกติของ การรับรส การรับกลิ่น และการมองเห็นในที่มืด ส่วน การขาดเล็กน้อย อาจพบภาวะมีอสุจิน้อย (oligospermia) น้ำหนักลด และภาวะแอมโมเนียในเลือดสูง (hyperammonemia) [3]ประโยชน์ของการเสริมสังกะสี สิวอักเสบ (Acne Vulgaris)นับตั้งแต่ Michaelsson พบผลดีของสังกะสีต่อสิวในผู้ป่วย acrodermatitis enteropathica และมีการศึกษาต่อมาที่พบระดับสังกะสีในซีรั่มต่ำในผู้ป่วยสิว สังกะสีจึงถูกใช้รักษาสิวทั้งแบบทาและแบบรับประทานอย่างแพร่หลาย รายงานระบุว่า สังกะสีซัลเฟตชนิดรับประทาน มีประสิทธิภาพมากกว่าในสิวรุนแรงเมื่อเทียบกับสิวเล็กน้อย-ปานกลาง แต่พบ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ได้บ่อย สังกะสีกลูโคเนตชนิดรับประทาน ก็มีรายงานว่าได้ผลในสิวอักเสบ แต่ขนาดเริ่มต้นแบบ loading dose ไม่ได้ผล อย่างไรก็ดี ประสิทธิผลของ เกลือสังกะสี โดยรวม เทียบเท่าหรือด้อยกว่า ยาปฏิชีวนะรับประทานกลุ่มเตตราไซคลิน (minocycline, oxytetracycline) กลไกการออกฤทธิ์ของสังกะสียังไม่ชัดเจน เชื่อว่า มีผลต่อดุลการอักเสบจากจุลชีพ และช่วย เสริมการดูดซึมยาปฏิชีวนะ เมื่อนำมาใช้ร่วมกัน อีกกลไกหนึ่งคือ ฤทธิ์ต้านแอนโดรเจน ที่ช่วยลดการผลิตไขมันบนผิว (sebum) [4] ผมร่วง (Alopecia)ผมร่วงแบบแอนโดรเจเนติก พบได้บ่อยในผู้ชายอายุมากกว่า 20 ปี โดยประเมินว่า 90% มีแนวโน้มถอยร่นของแนวเส้นผมด้านหน้า การรักษาหลักคือ มิโนอกซิดิล และ ฟินาสเตอไรด์ รวมถึงการผ่าตัดปลูกผม สังกะสีถูกค้นพบว่ามี ฤทธิ์ต้านแอนโดรเจน และสามารถเปลี่ยนแปลงการทำงานของเอนไซม์ 5α-reductase ชนิดที่ 1 และ 2 [4] ภูมิคุ้มกัน (Immunity)สังกะสี จำเป็นต่อการทำงานของเอนไซม์และทรานสคริปชันแฟกเตอร์หลายชนิด มีบทบาทสำคัญในการควบคุมทั้ง ภูมิคุ้มกันจำเพาะ (adaptive) และ ภูมิคุ้มกันแต่กำเนิด (innate) แหล่งอาหารที่มีสังกะสี ได้แก่ เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ผลิตภัณฑ์นม และยังพบในธัญพืชเต็มเมล็ด ถั่ว และพืชตระกูลถั่ว โดย สังกะสีจากสัตว์มีชีวปริมาณออกฤทธิ์สูงกว่า พืช สาร ฟิเตต ไฟเบอร์บางชนิด และลิกนิน ในพืชสามารถจับสังกะสีและ ขัดขวางการดูดซึม [5]ผลของสังกะสีต่อระบบภูมิคุ้มกันมีความซับซ้อน สามารถทั้ง ส่งเสริมและยับยั้งกิจกรรมภูมิคุ้มกัน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการอักเสบและการต้านอักเสบ การได้รับสังกะสีที่เหมาะสมจำเป็นต่อการ จำกัดการผลิตไซโตไคน์ก่อการอักเสบมากเกินไป: การศึกษาในหลอดทดลองและในมนุษย์พบว่าภาวะขาดสังกะสีสัมพันธ์กับการตอบสนองการอักเสบที่เพิ่มขึ้นและการหลั่งไซโตไคน์อักเสบเกิน เช่น IL-2, IL-6, TNF-α ซึ่งควบคุมผ่านเส้นทาง NF-κB สังกะสียังเพิ่มจำนวน inducible regulatory T cells อีกบทบาทสำคัญคือ คงความสมบูรณ์ของเยื่อกั้น (barrier) โดยเฉพาะเยื่อบุปอดและลำไส้ซึ่งเป็นด่านแรกต่อเชื้อก่อโรค การเสริมสังกะสีแสดง ฤทธิ์ต้านไวรัสโดยตรง ต่อ RSV, ไวรัสเด็งกี และโคโรนาไวรัส ลดความเครียดออกซิเดชัน และ ลดระยะเวลาของอาการหวัด ในผู้ใหญ่ บางรายงานยังเสนอว่า การใช้คลอโรควินร่วมกับสังกะสี อาจเพิ่มความเป็นพิษของคลอโรควินต่อไวรัส [5]การเสริมสังกะสีถูกศึกษาใน การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างเฉียบพลัน สองการศึกษาพบว่าสังกะสีช่วย ลดจำนวนตอนของการติดเชื้อ และ เพิ่มอัตราการฟื้นตัว แต่อย่างหลังมีนัยสำคัญในเพียงเด็กผู้ชาย สาเหตุของการติดเชื้อ (เชื้อแบคทีเรีย/ไวรัสชนิดใด) ไม่ได้ถูกสำรวจในงานดังกล่าว จึงสรุปได้ว่าสังกะสี ลดอาการ แต่ ยังไม่มีหลักฐาน ว่ามีผลต่อ การตอบสนองภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ โดยตรง การวิเคราะห์รวม 4 การศึกษาเกี่ยวกับการเสริมต่อเนื่องยืนยันว่า สังกะสีมีประสิทธิภาพในการป้องกันปอดบวม โดยลดอุบัติการณ์ปอดบวมในเด็กในประเทศกำลังพัฒนาได้ 41% ปอดบวมเป็นสาเหตุการเสียชีวิตสำคัญในเด็ก (~20% ของการเสียชีวิตในประเทศกำลังพัฒนา) ทำให้การเสริมสังกะสีเป็นแนวทางที่น่าสนใจในการ ลดการตายของเด็ก นอกจากนี้ งานวิจัยล่าสุดชี้ว่า ผู้สูงอายุ ก็อาจได้ประโยชน์ โดยการเสริมสังกะสีสัมพันธ์กับ ความเสี่ยงปอดบวมที่ต่ำลง ในผู้พักในบ้านพักผู้สูงอายุ [6] การสมานแผล (Wound Healing)สังกะสีพบในความเข้มข้นต่ำในเนื้อเยื่อและเยื่อหุ้มเซลล์ของผู้ป่วยที่อยู่ระหว่าง การสมานแผลหลังผ่าตัดระบบประสาท การควบคุมสังกะสีจึงอยู่ภายใต้กลไกที่เข้มงวด ทั้งระดับการถอดรหัสยีน ตัวขนส่งไอออน การคงสมดุลภายในเซลล์ และแหล่งภายนอก เวสิเคิลนอกเซลล์ มีสังกะสีปริมาณเล็กน้อยในภาวะปกติ สังกะสีถูกลำเลียงเข้าสู่เวสิเคิลภายในเซลล์โดย โปรตีนขนส่งสังกะสี (ZIP) ในไซโตซอลมีไอออนสังกะสีอิสระทำหน้าที่เป็น secondary messenger กำหนดเป้าหมายโปรตีนเพื่อควบคุมเส้นทางทางเคมีและสรีรวิทยาหลายอย่าง ดังนั้น ความพร้อมใช้และการควบคุมสังกะสีจึงสำคัญ ต่อสรีรวิทยาระดับเซลล์ [7]การขาดสังกะสีถูกโทษว่าเป็นสาเหตุของ แผลหายช้า ภาวะขาดสังกะสีเพิ่มการอักเสบและทำลายเนื้อเยื่อของโฮสต์ ผู้ป่วยหลังผ่าตัดระบบประสาท ผู้ป่วยวิกฤต ผู้ป่วย แผลไฟไหม้รุนแรง แผลกดทับ แผลผ่าตัดขนาดเล็ก ต่างได้รับประโยชน์จาก การเสริมสังกะสี [7] ปฏิกิริยาระหว่างธาตุอาหารและวิตามิน (Interactions) สังกะสีกับเหล็ก (Zinc–Iron)มีการศึกษาพบว่า เหล็กขนาดสูง สามารถ ลดการดูดซึมสังกะสี ในผู้ใหญ่ได้เมื่อให้ พร้อมกันในสารละลายและขณะท้องว่าง เชื่อว่าเกิดจาก การแข่งขันกันใช้เส้นทางดูดซึมที่ไม่จำเพาะ ผลกดการดูดซึมนี้ ไม่เกิด เมื่อให้เหล็กและสังกะสี พร้อมอาหาร เพราะสังกะสีสามารถดูดซึมผ่าน เส้นทางทางเลือก โดยอาศัยลิแกนด์ที่เกิดจากการย่อยโปรตีน [8] สังกะสีกับวิตามิน (Zinc–Vitamins)ปฏิสัมพันธ์ของสังกะสีกับวิตามินบางชนิด (A, D, E) น่าสนใจ เพราะสังกะสีมีผลต่อ โปรตีนขนส่ง ของวิตามินเหล่านี้ เช่น retinol-binding protein (วิตามิน A) และ tocopherol transporter (วิตามิน E) ความสัมพันธ์ระหว่างสังกะสีกับ วิตามินดี น่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะสังกะสีเป็นองค์ประกอบใน โดเมนจับดีเอ็นเอของตัวรับวิตามินดี (โดยโครงสร้างแบบ zinc finger 2 ตำแหน่ง) ช่วยสนับสนุน การดูดกลับแคลเซียมที่ไต และ การดูดซึมฟอสฟอรัสที่ลำไส้ ดังนั้น ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสังกะสีกับวิตามินดีจึงสำคัญต่อการทำงานที่เหมาะสมของอวัยวะและเนื้อเยื่อต่าง ๆ รวมถึง สมองและกระดูก [8] สังกะสีกับแคลเซียม (Zinc–Calcium)แม้จะมีการเสนอว่ากลไกการดูดซึมของสังกะสีและแคลเซียมในลำไส้เล็กต่างกัน (เกี่ยวข้องกับ พรอสตาแกลนดิน E และ วิตามินดี ตามลำดับ) แต่การทดลองในหนูพบว่า แคลเซียมอาจรบกวนการดูดซึมสังกะสีในลำไส้ เนื่องจากมี การแข่งขันกันของตัวขนส่งผ่านเซลล์ (transcellular carriers) บนผิวเยื่อหุ้มเซลล์ [8] เอกสารอ้างอิงSanna A, Firinu D, Zavattari P, Valera P. Zinc Status and Autoimmunity: A Systematic Review and Meta-Analysis. Nutrients. 2018;10:1–17. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5793296/Uwitonze AM, Ojeh N, Murererehe J, Atfi A, Razzaque MS. Zinc Adequacy Is Essential for the Maintenance of Optimal Oral Health. Nutrients. 2020;12:1–14. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7230687/Kogan S, Sood A, Garnick MS. Zinc and Wound Healing: A Review of Zinc Physiology and Clinical Applications. Wounds. 2017;29:102–6. https://www.hmpgloballearningnetwork.com/site/wounds/article/zinc-and-wound-healing-review-zinc-physiology-and-clinical-applicationsGupta M, Mahajan VK, Mehta KS, Chauhan PS. Zinc therapy in dermatology: a review. Dermatol Res Pract. 2014;2014:. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4120804/Pecora F, Persico F, Argentiero A, Neglia C, Esposito S. The Role of Micronutrients in Support of the Immune Response against Viral Infections. Nutrients. 2020;12:1–45. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/Overbeck S, Rink L, Haase H. Modulating the immune response by oral zinc supplementation: a single approach for multiple diseases. Arch Immunol Ther Exp. 2008;56:15–30. https://ww.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7079749/Adjepong D, Jahangir S, Malik B. The Effect of Zinc on Post-Neurosurgical Wound Healing: A Review. Cureus. 2020;12:1–7. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7039353/Mocchegiani E, Romeo J, Malavolta M, Costarelli L, Giacconi R, Diaz LE, Marcos A. Zinc: dietary intake and impact of supplementation on immune function in elderly. Age (Dordr). 2013;35:839–60. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3636409/

สมองล้า ... Ginkgo Biloba เคล็ดลับเพิ่มพลัง บำรุงสมอง

สมองล้า ... Ginkgo Biloba เคล็ดลับเพิ่มพลัง บำรุงสมอง

มีนาคม 16, 2568

Ginkgo Biloba เคล็ดลับบำรุงสมองสมองล้า จากภาวะทางสังคมที่มีการแข่งขันที่สูงขึ้น ปัจจัยมากมายรอบตัวที่เข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิต จึงส่งผลให้เกิดความเครียด แต่เมื่อชีวิตเรายังคงต้องดำเนินต่อไปในทุก ๆ วัน ทำให้เกิดเป็นความเครียดสะสมขึ้นเรื่อย ๆ จนส่งผลให้ “สมองล้า” (Brain fog syndrome) การทำงานของสมองในส่วนของความจำก็จะทำงานลดลง เริ่มมีอาการ เบลอ ๆ รู้สึกไม่สดชื่น มึนหัว พอหนักขึ้นก็เริ่ม นอนไม่หลับ ปวดหัวบ่อยขึ้นและเรื้อรัง สายตาพร่ามัว ความจำระยะสั้นแย่ลง ขี้หลงขี้ลืม และหงุดหงิดง่ายขึ้น หากยังปล่อยไว้ไม่ได้รักษาก็จะเสี่ยงที่จะเกิดโรคความจำเสื่อมก่อนวัย โรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์กินสันได้อาการ “สมองล้า” เป็นภาวะหนึ่งที่เกิดขึ้นกับสมอง มีผลมาจากความเครียดที่สะสมจากการใช้งานสมองอย่างหนักเป็นระยะเวลานาน ส่วนหนึ่งเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันอย่าง การพักผ่อนน้อย การนอนดึก การทำงานโต้รุ่ง การเร่งทำงานให้เสร็จทันเวลา หรือแม้กระทั่งการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ พฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งกระตุ้นให้สารเคมีในสมอง หรือที่เรียกว่าสารสื่อประสาท ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาททำงานลดลงและเสียสมดุล สมองจึงทำงานได้น้อยลงและเกิดเป็นอาการต่างตามที่กล่าวข้างต้น วันนี้เราจึงมาแนะนำตัวช่วยดี ๆ จากธรรมชาติ ที่ปลอดภัยกับร่างกายมาเป็นตัวเสริม และเพิ่มพลังสมองอย่าง “แปะก๊วย” มาฝาก“แปะก๊วย” (Ginkgo biloba L.) หรือ “สารสกัดจากใบแปะก๊วย” พืชใบสีเขียวที่มีสรรพคุณมากมายหลายด้าน มีสารสำคัญหลักอย่าง สารเทอร์พีนอยด์ (Terpinoidal compounds) ได้แก่ ไบโลบาไลด์ (Bilobalide) ไดเทอร์ปีนแลคโตน 5 ชนิด ที่รวมตัวกันเรียก กิงโกไลต์ (Ginkgolides) และสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) จึงทำให้สารสกัดจากใบแปะก๊วย มีคุณสมบัติสำคัญมากมายที่ไม่ใช่แค่เพียงเพิ่มพลังและบำรุงสมอง แต่ยังสามารถช่วยฟื้นฟูระบบภายในของร่างกายให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนได้รับการยอมรับและในบางประเทศมีการประกาศให้แปะก๊วยเป็นตัวยาที่แพทย์แผนปัจจุบันมีการสั่งจ่ายในการรักษา อีกทั้งยังมีศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารสกัดใบแปะก๊วยถึงผลในการรักษามากมาย อย่างฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant activity) ที่มีการศึกษาฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากใบแปะก๊วย พบว่า สามารถช่วยลดปริมาณการผลิตอนุมูลอิสระ ป้องกัน LDL จากภาวะเครียด ป้องกันเม็ดเลือดแดงจาก EGB-761 สารที่ทำลายเซลล์ประสาท และยังป้องกันจอตา (Retina) จากความเสื่อมของเซลล์ประสาทฤทธิ์การไหลเวียนของโลหิตไปยังสมอง (Cerebral blood flow increase) จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่ได้รับสารสกัดใบแปะก๊วยขนาด 120-300 มิลลิกรัม/คน/วัน เป็นเวลา 4-12 สัปดาห์ มีผลเพิ่มปริมาณโลหิตที่ไปเลี้ยงสมอง ทำให้อาการต่าง ๆ ที่เกิดจากโลหิตไปเลี้ยงสองไม่เพียงพอดีขึ้นภายใน 4 สัปดาห์ และหลังจากรับประทานต่อเนื่อง 12 สัปดาห์ อาการดีขึ้นชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก และจากการศึกษากับกลุ่มผู้ป่วยโลหิตไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จำนวน 90 คน โดยให้รับประทานสารสกัดใบแปะก๊วยขนาด 150 มิลลิกรัม/วัน  เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่า ผู้ป่วยมีความจำดีขึ้น ระยะเวลาของความตั้งใจใจการทำงานเพิ่มขึ้น ความสามารถในการทำงานต่าง ๆ ที่ต้องใช้การปรับตัว และการตัดสินใจที่รวดเร็วดีขึ้นฤทธิ์ที่ช่วยให้ความจำดีขึ้น (Memory enhancement effect) โดยการศึกษาฤทธิ์ที่ช่วยให้ความจำดีขึ้นในผู้ป่วยสูงอายุ 18 คน ที่มีภาวะความจำเสื่อมจากความชรา พบว่า เมื่อผู้ป่วยรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วยขนาด 320 มิลลิกรัม/คน สามารถช่วยให้ความจำของผู้ป่วยดีขึ้นนอกจากนี้ ยังมีการศึกษาอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น การศึกษาฤทธิ์กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต การศึกษาฤทธิ์ในการเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ และการศึกษาฤทธิ์เพิ่มการมองเห็น ฯลฯ มีผลไปในทิศทางเดียวกัน คือมีผลดีขึ้นเพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อีกทั้งสารสกัดจากใบแปะก๊วยยังมีสารสำคัญอย่าง เอเชียติโคไซค์ (Asiaticoside) เอเชียติคแอซิค (Aisatic Acid) และบลามิโนไซด์ (Brahimnoside) ที่ช่วยเข้าไปยับยั้งการสร้างสารที่ทำลายเซลล์สมอง ลดความเครียดของสมองจากการทำงานหนัก และช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานของกำลังสมองอีกด้วยการดูแลรักษาฟื้นฟูสมองด้วยการปรับการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาจยังไม่เพียงพอต่อการรักษาฟื้นฟู เนื่องจากสิ่งต่าง ๆ ภายนอกไม่ว่าจะเป็น คลื่นแม่เหล็กจาก คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ที่เข้าไปรบกวนสารสื่อประสาท ความเครียดที่เกิดโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว การนอนดึก การนอนไม่เพียงพอ การที่ขาดการออกกำลังกาย ที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองลดลง การที่ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ และการที่ร่างกายได้รับสารพิษจากมลภวะ สารเคมีจากอาหาร หรือสิ่งปนเปื้อนที่ปนมากับอากาศ ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่มีผลกระทบที่มีผลต่อสมองที่ยากจะหลีกเลี่ยง ได้การเพิ่มตัวช่วยเข้ามาช่วยเพิ่มพลังสมองจึงสำคัญอย่างมากเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว ประโยชน์ของ “สารสกัดแปะก๊วย (Ginkgo Biloba Extract)”แปะก๊วย เป็นหนึ่งในสปีชีส์พืชที่เก่าแก่ที่สุดบนโลก ใบและเมล็ดถูกใช้เป็นยามาเป็นศตวรรษในประเทศจีน เริ่มแรกใช้รักษาหอบหืดและปัญหาระบบย่อยอาหาร ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ทศวรรษที่หกสิบ และปัจจุบันนับเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์สมุนไพรทางยาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก [1]เมื่อต้นทศวรรษ 1970 บริษัท Dr. Willmar Schwabe Pharmaceuticals (คาร์ลสรูเฮอ เยอรมนี) ได้พัฒนาวิธีสกัดและทำมาตรฐานสารสกัดจากใบแปะก๊วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลิตสารสกัดเข้มข้นและมีความคงตัวสูงจากใบแปะก๊วย สารสกัดมาตรฐานจากใบแปะก๊วยประกอบด้วย เทอร์พีนอยด์ 6% (โดยที่ 3.1% เป็นกินกโกลไลด์ A, B, C และ J และ 2.9% เป็นบิโลบาลิด), ฟลาโวนอยด์ไกลโคไซด์ 24% (เช่น เควอซิติน แคมป์เฟอรอล อิซอราห์มเนติน ฯลฯ) และ กรดอินทรีย์ 5–10% [2]สารออกฤทธิ์สำคัญของสารสกัดแปะก๊วยคือ ฟลาโวนอยด์ และ เทอร์พีนอยด์ ฟลาโวนอยด์ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต โดยเฉพาะ การไหลเวียนเลือดในสมอง จึงใช้กับภาวะต่าง ๆ เช่น โรคอัลไซเมอร์และภาวะความจำเสื่อมที่เกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองลดลง นอกจากนี้ สารสกัดยังมีคุณสมบัติ ต้านอนุมูลอิสระ [3] และ ปกป้องระบบประสาท [2] คุณสมบัติของสารสกัดแปะก๊วย ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ประชากรโลกที่สูงวัยอย่างรวดเร็วทำให้ความชุกของภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย ภาวะสมองเสื่อม และโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้น อายุเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ หลังอายุ 65 ปี ความชุกของภาวะสมองเสื่อมจะ เพิ่มเป็นสองเท่าทุก ๆ 5 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากอายุขัยของผู้หญิงยาวกว่า [4]มีการศึกษาที่รายงานผลเชิงบวกของสารสกัดแปะก๊วยต่อโรคอัลไซเมอร์ การเพิ่มความจำ ภาวะสมองเสื่อมจากหลอดเลือด และความผิดปกติด้านสติปัญญา สารสกัดมีผล ปรับการไหลเวียนเลือดในสมอง และอาจช่วยลดความเหนื่อยล้าและความไม่ใส่ใจ [2] อย่างไรก็ดี บางการศึกษาไม่พบว่าสารสกัดแปะก๊วยสามารถ ป้องกันการดำเนินโรค ของภาวะสมองเสื่อมได้ อย่างไรก็ตาม หลายการศึกษาชี้ว่า สารสกัดแปะก๊วย ส่งเสริมประสิทธิผล ในด้านการปรับปรุงการรู้คิด พฤติกรรม ความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ รวมทั้งช่วย ลดภาระของผู้ดูแล [4] จอประสาทตาเสื่อมจากอายุ (AMD)AMD เป็นภาวะที่มีผลต่อบริเวณศูนย์กลางของเรตินา (ส่วนหลังของตา) เรตินาเสื่อมลงตามอายุและบางคนเกิดรอยโรคที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นส่วนกลาง ปัจจัยด้านหลอดเลือดและความเสียหายจากออกซิเดชันเป็นกลไกสำคัญในพยาธิกำเนิดของโรค สารสกัดแปะก๊วยมี ฟลาโวนอยด์และเทอร์พีนอยด์ ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เชื่อว่าอาจช่วย ชะลอการดำเนินของ AMD ผ่านหลายกลไก ได้แก่ เพิ่มการไหลเวียนเลือด ยับยั้ง platelet-activating factor และป้องกันความเสียหายของเยื่อหุ้มเซลล์จากอนุมูลอิสระ [5] ต้อหินต้อหินเป็นสาเหตุสำคัญของความบกพร่องทางการมองเห็นแบบถาวรและตาบอด แม้กลไกของโรคจะยังไม่ชัดเจน แต่ ความเครียดออกซิเดชัน ภาวะขาดเลือดของเส้นประสาทตา และการอักเสบของระบบประสาท มีบทบาทในความเสื่อมของเส้นประสาทตา เชื่อว่าสารสกัดแปะก๊วยอาจ ปกป้องเนื้อเยื่อจากความเสียหายของอนุมูลอิสระ คล้ายสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ เช่น วิตามิน C และ E แต่ต่างกันตรงที่สารสกัดออกฤทธิ์ในระดับ ออร์แกเนลล์ โดย ทำให้ไมโทคอนเดรียคงตัว (ความผิดปกติของไมโทคอนเดรียสัมพันธ์กับต้อหิน) [6]สารสกัดแปะก๊วยยังมี คุณสมบัติทำให้หลอดเลือดขยาย ช่วยปรับปรุงการไหลเวียนเลือดที่หัวใจและส่วนปลาย และอาจช่วยลด ความหนืดของเลือด [6] นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าเกี่ยวข้องกับ การปรับปรุงลานสายตาที่เสื่อมลง ในผู้ป่วยต้อหินมุมเปิด [7] ด้วยประโยชน์ด้าน ต้านอนุมูลอิสระ ควบคุมหลอดเลือด และต้านการอักเสบ สารสกัดแปะก๊วยจึงถือเป็น สารปกป้องระบบประสาท และอาจช่วย ปรับปรุงการมองเห็น ในผู้ป่วยต้อหิน [6] ความเครียดออกซิเดชันความเครียดออกซิเดชันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดการทำลายและดำเนินต่อเนื่องในเนื้อเยื่อหนึ่งหรือหลายส่วนของร่างกาย นำไปสู่การทำงานของอวัยวะบกพร่อง แก่ก่อนวัย และบางครั้งก่อโรคและเสียชีวิต การเผชิญความเครียด รังสี การติดเชื้อ และควัน ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก ส่งผลให้ดีเอ็นเอเปลี่ยนแปลงและนำไปสู่โรคจากออกซิเดชัน เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง การใช้สารสกัดแปะก๊วยอาจช่วยชะลอกระบวนการนี้ ได้ [1]สารสกัดแปะก๊วยมีคุณสมบัติ ต้านอนุมูลอิสระ โดยช่วยปรับการแสดงออกของเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระให้เพิ่มขึ้น และลดการเกิด reactive oxygen species และ reactive nitrogen species นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติ ต้านการอักเสบ โดยยับยั้งการแสดงออกของไซโตไคน์ก่อการอักเสบ เช่น IL-1, IL-6, TNF-α จึงช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของโรคที่เกิดจากกระบวนการเครียดออกซิเดชัน [1] คำเตือน ปฏิกิริยาระหว่างยา และอาการไม่พึงประสงค์ของสารสกัดแปะก๊วยปัญหาทางคลินิกที่สำคัญที่สุดของแปะก๊วยเกิดจาก ฤทธิ์ยับยั้ง platelet-activating factor (PAF) ดังนั้นการใช้แปะก๊วยร่วมกับ วาร์ฟาริน แอสไพริน หรือยาต้านเกล็ดเลือดอื่น ควร ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แปะก๊วยโดยทั่วไปทนได้ดี อาการไม่พึงประสงค์พบไม่บ่อย มักอาการไม่รุนแรง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ใจสั่น กระสับกระส่าย อ่อนแรง หรือผื่นผิวหนัง แม้ยังไม่มีการศึกษาที่สนับสนุนข้อจำกัดการใช้ใน หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร แต่เนื่องจากขาดข้อมูล จึงควร หลีกเลี่ยงการใช้ ในกลุ่มดังกล่าว [8] เอกสารอ้างอิงAchete de Souza G, de Marqui SV, Matias JN, Guiguer EL, Barbalho SM. Effects of Ginkgo biloba on Diseases Related to Oxidative Stress. Planta Medica. 2020;86:376–86. เข้าถึงจาก: https://www.thieme-connect.com/products/ejournals/abstract/10.1055/a-1109-3405Singh SK, Srivastav S, Castellani RJ, Plascencia-Villa G, Perry G. Neuroprotective and Antioxidant Effect of Ginkgo Biloba Extract Against AD and Other Neurological Disorders. Neurotherapeutics. 2019;16:666–74. เข้าถึงจาก: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6694352/Sellami M, Slimeni O, Pokrywka A, Kuvačić G, D Hayes L, Milic M, Padulo J. Herbal medicine for sports: a review. J Int Soc Sports Nutr. 2018;15:1–14. เข้าถึงจาก: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5856322/Kandiah N, Ong PA, Yuda T, Ng LL, Mamun K, Merchant RA, et al. Treatment of dementia and mild cognitive impairment with or without cerebrovascular disease: Expert consensus on the use of Ginkgo biloba extract, EGb 761®. CNS Neurosci Ther. 2018;25:288–98. เข้าถึงจาก: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6488894/Evans J. Ginkgo biloba extract for age-related macular degeneration (Review). Cochrane Database Syst Rev. 2013:1–15. เข้าถึงจาก: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7061350/Ige M, Liu J. Herbal Medicines in Glaucoma Treatment. Yale J Biol Med. 2020;93:347–53. เข้าถึงจาก: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7309662/Bungau S, Abdel-Daim MM, Tit DM, Ghanem E, Sato S, Maruyama-Inoue M, et al. Health Benefits of Polyphenols and Carotenoids in Age-Related Eye Diseases (Review). Oxid Med Cell Longev. 2019:1–22. เข้าถึงจาก: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6390265/Sierpina VS, Wollschlaeger B, Blumenthal M. Ginkgo Biloba. Am Fam Physician. 2003;68:923–6. เข้าถึงจาก: https://www.aafp.org/afp/2003/0901/p923.html

สารสกัดจากทับทิม

สารสกัดจากทับทิม

มีนาคม 14, 2568

ทำไม? สารสกัดจากทับทิมจึงช่วยชะลอวัย ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสเชื่อว่าภาพความทรงจำวัยเด็กของใครหลาย ๆ คน มักจะต้องเคยเห็นคนในครอบครัวสรรหาน้ำผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูง ๆ มาดื่มเป็นประจำ หรือเอาง่าย ๆ ไม่ว่าสื่อโทรทัศน์โฆษณาน้ำผลไม้ชนิดไหนต้องตามล่าหาสิ่งนั้นมาจงได้ แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่ได้ดื่มไปเหล่านั้นให้วิตามินสูงจริงหรือเปล่า แล้วส่งผลอย่างไรกับร่างกายของเราบ้าง วันนี้เรามีคำตอบมาฝากทุกคนกันทับทิม ผลไม้สีแดงสด ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ แถมยังเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอี และวิตามินซี ในปริมาณสูง ซึ่งมีประโยชน์ต่อผิวพรรณเป็นอย่างมาก งั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าเจ้าสารสกัดทับทิมนี้สามารถช่วยในด้านไหนได้บ้างฤทธิ์ต่อการสร้างเม็ดสีเมลานินสารสกัดจากทับทิม มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง เม็ดสีเมลานิน ที่เป็นเม็ดสีผิวที่ทำให้ผิวคล้ำ มีการทดลองให้กรดแอลลาจิก ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ได้จากทับทิม กับหนูสายพันธุ์บราวน์กินี (brown guinea) ที่ได้รับแสงอัลตราไวโอเลต พบว่า สารดังกล่าวมีผลยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ผิวหนัง และน้ำมันจากเมล็ด และสารสกัดจากทับทิมยังมีฤทธิ์กระตุ้นการสร้าง และยับยั้งการทำลายคอลลาเจน ซึ่งมีผลกับการสร้างเซลล์ผิวหนัง  สารสกัดจากทับทิมยังสามารถยับยั้งการสร้างสารอนุมูลอิสระจากรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด เอ และบีและยังพบอีกว่า สารสกัดทับทิมที่มีกรดแอลลาจิกจะช่วยยับยั้งไม่ให้ผิวคล้ำจากรังสีอัลตราไวโอเลตในหนูได้ และ ยังช่วยป้องกันการทำลายผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด เอ1 ได้ ทำให้สารสกัดทับทิมจึงเป็นผลไม้ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดี ช่วยชะลอไม่ให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ทั้งยังสามารถป้องกันอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด เอ และบีที่อาจนำไปสู่โรคมะเร็งผิวหนังได้ฤทธิ์ต่อการต้านอนุมูลอิสระสารสกัดจากทับทิม เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอลลาจิแทนนิน ฟลาโวนอยด์ และโพลีฟีนอล เป็นต้น สารสกัดจากทับทิมจะมีสารต้านอนุมูลอิสระออกมา เพื่อป้องกันอันตรายของมลพิษจากสิ่งแวดล้อมการศึกษาตรวจวิเคราะห์หาความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากทับทิม พบว่า เปลือกทับทิมเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญจำนวนมาก ทั้งยังพบว่า มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่าสารสกัดจากใบและเมล็ดทับทิม2-3นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระของน้ำผลไม้หลายชนิดในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า น้ำทับทิม มีฤทธิ์ต้าน อนุมูลอิสระสูงที่สุด4-6  สารต้านอนุมูลอิสระในทับทิมยังช่วยบำรุงตับได้ โดยจากการทดลองให้สารสกัดจากทับทิมในหนูทดลองก่อนที่จะให้สารพิษคาร์บอนเนตคลอไรด์ (CCl4 ) ซึ่งเป็นพิษต่อตับ พบว่า หนูที่ได้รับสารสกัดจากทับทิมสามารถป้องกันการเป็นพิษต่อตับได้อย่างมีนัยสำคัญ7ดังนั้นสารสกัดจากทับทิมจึงมี ประโยชน์อย่างยิ่งที่จะนำมาใช้ชะลอความเสื่อมต่าง ๆ ของร่างกายได้เอกสารอ้างอิงวัลวิภา เสืออุดม.ทับทิมผลไม้เพื่อสุขภาพ Healthy pomegranate fruit .มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ, มหาวิทยาลัยราชภัฎหมูบ้านจอมบึง.2559 [http://scijournal.hcu.ac.th/data]Al-Zoreky NS. Antimicrobial activity of pomegranate (Punica granatum L.) fruit peels. Int J Food Microbiol 2009;134(3):244-8. 44. Colombo M, Moita C, van Niel G, Kowal J, Vigneron J, Benaroch P, et al. Analysis of ESCRT functions in exosome biogenesis, composition and secretion highlights the heterogeneity of extracellular vesicles. J Cell Sci 2013;126 (24):5553-65. [https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/19632734/]Braga LC, Shupp JW, Cummings C, Jett M,Takahashi JA, Carmo LS, et al. Pomegranate extract inhibits Staphylococcus aureus growth and subsequent enterotoxin production. J Ethnopharmacol 2005;96(1-2):335-9. [https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/15588686/]Guo C, Yang J, Wei J, Li Y, Xu J, Jiang Y. Antioxidant activities of peel, pulp, and seed fractions of common fruits as determined by FRAP assay. Nutr Res 2003;23(12):1719-26 [https://link.springer.com/article/10.1007/s10068-011-0003-z]Kasai K, Yoshimura M, Koga T, Arii M, Kawasaki S. Effect of oral administration of ellagic acid-rich pomegranate extract of ultravioletinduct pigmentation in human skin. J Nutr Sci Vitaminol 2006;52(1):383. [https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/17190110]Tinrat S, Akkarachaneeyakorn S, Singhapol C. Evaluation of antioxidant and antimicrobial activities of Momordica cochinchinensis spreng (gac fruit) ethanolic extract. IJPSR 2014;5(8): 3163-9. [https://ijpsr.com/bft-article/evaluation-of-antioxidant-and-antimicrobial-activities-of-momordica-cochinchinensis-spreng-gac-fruit-ethanolic-extract/?view=fulltext]Seeram NP, Adams LS, Henning SM, Niu Y, Zhang Y, Nair MG. In vitro antiproliferative, apoptotic and antioxidant activities of punicalagin, ellagic acid and a total pomegranate tannin extract are enhanced in combination with other polyphenols as found in pomegranate juice. J Nutr Biochem 2005;16(6):360[https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/15936648/]

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น

มีนาคม 13, 2568

ที่สุดแห่งสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่าวิตามิน ซี 20 เท่า จากสารสกัดเมล็ดองุ่นองุ่นเป็นผลไม้ลูกกลม ๆ ที่ทุก ๆ บ้านต้องมียู่บนโต๊ะอาหาร แต่ภายใต้เนื้อหวานแสนอร่อยขององุ่นนั่นจะมีกี่คนที่รู้ว่า เจ้าเมล็ดอองุ่นที่ทุกคนทิ้งกันไปนั้นอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ ที่ช่วยเสริมสร้างความงาม และมีคุณประโยชน์กับร่างกายอย่างมาก จนกระทั่งในปี ค.ศ.1970 นักชีวเคมีชาวฝรั่งเศสได้นำเอาเมล็ดองุ่นไปทำการสกัด และในที่สุดก็ได้พบสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากที่มีชื่อว่า “โอลิโกเมอริก โปรแอนโธไซยานิดินส์ (Oligomeric Proanthocyanidins) หรือ OPCs”OPCs มีคุณสมบัติที่สำคัญในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง และละลายน้ำได้ดี จึงทำให้มีประสิทธิภาพมากในการปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายจากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ทั้งยังมีประสิทธิภาพในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามิน ซี ถึง 20 เท่า และมากกว่าวิตามิน อี ถึง 50 เท่า1ประโยชน์ของ OPCs จากสารสกัดเมล็ดองุ่นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ต้านอนุมูลอิสระได้ทุกรูปแบบและจำนวนมาก ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดภายใน 20-30 นาที จากนั้นจะกระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และยังคงอยู่ในร่างกายได้นานถึง 72 ชั่วโมง บำรุงผิวพรรณ ชะลอไม่ให้ผิวหนังแก่ก่อนวัย และลดแห้งกร้านของผิว ด้วยการเสริมสร้างคอลลาเจนให้เซลล์ชั้นใต้ผิวหนังช่วยลดริ้วรอย ฝ้า กระให้จางลง โดย OPCs จะช่วยต้านอนุมูลอิสระที่มาทำลายคอลลาเจนอิลาสติน และการผลิตเม็ดสี ที่เป็นสาเหตุทำให้ผิวเสื่อมสภาพ และเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควรจากคุณสมบัติยับยั้งเอนไซน์ที่ทำลายคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้หลอดเลือดฝอยแข็งแรง จึงทำให้สามารถนำสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ผิวได้ดีสารสกัดจากเมล็ดองุ่น จึงเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ที่สามารถช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นได้ดี ดูสดใส มีน้ำมีนวล ทั้งยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ยับยั้งการถูกทำลายของคอลลาเจน ทั้งยังลดปัญหาสำหรับผู้ที่มีสีผิวไม่สม่ำเสมอกันอีกด้วย2-3เอกสารอ้างอิงชณิศา พานิช.ประสิทธิผลของการรับประทานโอพีซีสารสกัดจากเมล็ดองุ่นและวิตามินซีเปรียบเทียบกับวิตามินซีเพียงอย่าง เดียวในการลดริ้วรอยอาสาสมัครเพศหญิงที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง [http://archive.mfu.ac.th/school/anti-aging/File_PDF/Research_PDF54/2.pdf]ธีรพงษ์ ขันทเจริญ , อรพิน เกิดชูชื่น , ณัฎฐา เลาหกุลจิตต์.ประสิทธิภาพการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากสารสกัดจากสกัดเปลือกและเมล็ดขององุ่นพันธ์ คาร์ดินัล.วารสาร วิทยาศาสตร์เกษตร.ปีที่ 41 ฉบับที่ 3/1 (พิเศษ) กันยายน – ธันวาคม หน้า 617 – 619ปวีณ ปุณศรี.2504.องุ่น.พิมพ์ครั้งที่ 2.สโมสรพืชสวน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.กรุงเทพฯ.

6 สัญญาณเตือน “กรดไหลย้อน”

6 สัญญาณเตือน “กรดไหลย้อน”

มีนาคม 11, 2568

TURMERICท้องอืด แน่นท้อง จะมีอาการคล้าย ๆ กับอาการของโรคกระเพาะอาหาร ซึ่งอาการนี้เกิดได้จากหูรูดของหลอดอาหารไม่สามารถปิดสนิทได้ เวลาที่ต้องมีการบีบตัวของหลอดอาหาร เพื่อที่จะไล่อาหารจากกระเพาะลงไปที่ลำไส้เล็ก ทำให้มีการท้นกลับของอาหารเข้ามาที่หลอดอาหารทั้งบริเวณในช่องท้อง และช่องอก ทำให้มีอาการท้องอืด แน่นท้องเรอเปรี้ยว หรือมีน้ำรสเปรี้ยว ๆ หรือขมออกมาทางลำคอ มักจะมีอาการนี้หลังรับประทานอาหารมื้อหนัก ๆกลืนลำบาก หรือกลืนแล้วรู้สึกเจ็บคอ เกิดจากกรดไหลย้อนไปสัมผัสกับกล้ามเนื้อคอ ทำให้กล้ามเนื้อหดตัวเจ็บหน้าอก จุกเหมือนมีอะไรติดคอ เกิดจากกรดไหลย้อนขึ้นมาผ่านหลอดอาหารที่อยู่ในช่องอก และกระตุ้นเส้นประสาทในหลอดอาหารแสบร้อนกลางอก เกิดจากความดันที่ช่องท้องเพิ่มขึ้น ทำให้กรดและอาหารที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร ซึ่งอาการแสบร้อนกลางอกจะส่งผลให้หลอดอาหารนั้นเกิดการระคายเคืองได้คลื่นไส้ อาเจียน เกิดจากการไหลท้นกลับของอาหารเข้ามาที่หลอดอาหาร มักจะมีอาการนี้หลังรับประทานอาหารมื้อหนัก ๆอย่างไรก็ตามสัญญาณเตือนทั้ง 6 ข้อนี้ เป็นเพียงระยะอาการของโรคกรดไหลย้อนในระยะต้น เพื่อป้องกันไม่ให้โรคทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น วิธีการดูแลเบื้องต้นคือ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด น้ำส้มสายชู น้ำมะนาว น้ำมะเขือเทศ พริกไทย หลีกเลี่ยงช็อกโกแลต อาหารมัน กาแฟ ชา หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ใส่เสื้อผ้าที่ไม่คับหรือรัดแน่น พยายามนั่งตัวตรง ๆ และลองหา สมุนไพรเพื่อเข้ามาช่วยฟื้นฟู บรรเทาอาการอย่าง ขมิ้นชัน ที่มีสารสำคัญ น้ำมันหอมระเหยและสารกลุ่มเคอร์คูมินอยด์ (curcuminiods) สารสีเหลืองส้มโดยมีการศึกษาถึงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของ ขมิ้นชันในการบรรเทาอาการโรคในระบบทางเดินอาหารที่น่าใจหลายการศึกษา เช่น ฤทธิ์ขับลม บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ การศึกษาในผู้ป่วยที่มีอาการอาหารไม่ย่อย (dyspepsia) พบว่า การรับประทานขมิ้นชันทั้งในรูปแบบของผงขมิ้นชัน ครั้งละ 500 มิลลิกรัม (มีเคอร์คูมินอยด์ 9.6% และน้ำมันหอมระเหย 8%) วันละ 4 ครั้ง ติดต่อกัน 7 วัน หรือขมิ้นชันแคปซูล 250 มิลลิกรัม ครั้งละ 2 แคปซูลวันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร หรือสารสกัดขมิ้นชันวันละ 162 มิลลิกรัม นาน 28 วัน สามารถบรรเทาอาการของโรคอาหารไม่ย่อย ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ลดอาการคลื่นไส้ และไม่สบายท้อง โดยประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการได้รับยาขับลม และยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร รานิทิดีน (ranitidine) 150 มิลลิกรัมนอกจากนี้ ขมิ้นชันยังมีฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร โดยผ่านกลไกกระตุ้นการหลั่งเมือก หรือมิวซิน (mucin) มาเคลือบกระเพาะ ยับยั้งการหลั่งกรดและน้ำย่อยของกระเพาะ และต้านการอักเสบ โดยการศึกษาให้ผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ รับประทาน ขมิ้นชันแคปซูล 600 และ 1,000 มิลลิกรัม/วัน แบ่งรับประทานวันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน นาน 12 สัปดาห์ ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ใกล้เคียงกับการใช้ยาลดกรด และกลุ่มที่ได้รับขมิ้นชันที่แผลหายแล้วจะไม่กลับมาเป็นอีก และการรับประทานผงขมิ้นชันวันละ 1 กรัม หลังมื้ออาหารเช้าเย็น ร่วมกับการรับประทานยาซัลฟาซาลาซีน (sulfasalazine) หรือยาเมซาลาซีน (mesalamine) ซึ่งใช้ใน การรักษาโรคลำไส้อักเสบ จะให้ผลการรักษาดีกว่าใช้ยาแผนปัจจุบันเพียงอย่างเดียวแหล่งอ้างอิงโดยบทความ : ขมิ้นชัน...ขุนพลผู้พิชิตโรคในระบบทางเดินอาหาร, กนกพร อะทะวงษา, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวิทยาลัยมหิดลบทความ : ดูแลตัวเองอย่างไรในภาวะกรดไหลย้อน, อ.นพ.ปิยะพันธ์ พฤกษพานิช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยเรียงข้อมูลโดย ไทย เฮลท์ โปรดักส์ (THP)

ผิวขาวกระจ่างใส “กลูตาไธโอน”

ผิวขาวกระจ่างใส “กลูตาไธโอน”

กุมภาพันธ์ 26, 2568

ผิวขาวกระจ่างใสด้วย “กลูตาไธโอน”เชื่อว่าการที่ผิวขาว กระจ่างใส ดูสุขภาพดี เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนต้องการ ทำให้กลูตาไธโอนเป็นที่นิยมอย่างมากเพราะการมีผิวที่ขาว กระจ่างใส เป็นสิ่งที่เสริมสร้างความมั่นใจให้กับหลาย ๆ คน จึงทำให้ปัจจุบันมี ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เสริมสร้างผิวขาวออกสู่ท้องตลาดเป็นจำนวนมาก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว1กลูตาไธโอน คือ สารต้านอนุมูลอิสระที่ถูกสร้างและใช้มากที่สุดในร่างกาย ทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องสายตาของคนเรา ช่วยเปลี่ยนแป้งที่สะสมในร่างกายให้เป็นพลังงาน และป้องกันการสะสมของไขมัน ซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นโรคหัวใจกลูตาไธโอน ทำหน้าที่ปกป้องทุกเซลล์ของร่างกาย แต่เมื่ออายุมากขึ้นปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายจะลดน้อยลง หรือถูกผลิตขึ้นช้าลง และมีปริมาณน้อยลง เมื่อเราอายุย่างเข้า 20 ปี ปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกาย จะลดลงเฉลี่ย 8-12% ต่อ 10 ปี แต่หากร่างกายมีการบริโภคยา หรือเคมีมากเกินไป ปริมาณการลดลงของกลูตาไธโอนในร่างกายจะรวดเร็วกว่าที่คาดไว้ ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมเร็วก่อนวัย และโรคต่าง ๆ เข้าแทรกแซงได้ง่าย3กลูตาไธโอน เป็นโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดอมิโนที่สำคัญ 3 ชนิด รวมกันอยู่คือ ซิสเตอิน(Cystein) ไกลซิน (Glycine) และ กลูตาเมท (Glutamate) ที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เอง ทำหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่ออวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายคุณสมบัติของกลูตาไธโอนAntioxidation กลูต้าไธโอนจะเปลี่ยนเป็นเอมไซม์ glutathione peroxidase เป็นสารที่มี antioxidant ที่สามารถช่วยความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆในร่างกายDetoxification กลูตาไธโอนช่วยสร้างเอมไซน์ชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะ glutathiones-transferse ที่ตับ ช่วยในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายImmune Enhancer กลูตาไธโอนจะส่งผลให้เพิ่มความสามารถในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม และเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาวชนิด neutrophilis และยังเพิ่มความสามารถในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายด้วย ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น และกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด เพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม รวมถึงซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีน และ prostaglandin2กลูตาไธโอนกับกลไกการเกิดสีผิวสีผิวของมนุษย์เกิดจากการที่เม็ดสีที่เรียกว่า เมลานิน (Melanin) ซึ่งเป็นโพลิเมอร์ที่ไม่ละลายน้ำ กระจายตัวอยู่ในชั้นผิวเม็ดสีที่อยู่ในผิวหนัง ทำหน้าป้องผิวหนังจาก UV จากแสงอาทิตย์โดยการดูดกลืนรังสี UV แล้วเปลี่ยนพลังงานให้เป็นความร้อน เมลานินถูกผลิตขึ้นจากกรดอะมิโนที่ชื่อไทโรซีน (Tyrosine) โดยทั่วไป มี 2 ชนิด คือ ยูเมลานิน (Eumelanin) และ ฟีโอเมลานิน (Pheomelanin)  โดยปริมาณเม็ดสีที่กระจายตัวอยู่ในผิวหนัง จะมีมากหรือน้อยเป็นลักษณะทางพันธุกรรม โดยที่ยูเมลานินจะพบมากในคนผิวเข้ม ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ บริเวณเส้นศูนย์สูตรซึ่งมีความเข้มของรังสี UV มาก ในขณะที่ฟีโอเมลานิน พบในคนผิวขาว ซึ่งได้รับ ปริมาณรังสีUV น้อยกว่าสารกลูตาไธโอนที่เข้าสู่ร่างกาย จะทำหน้าที่ กระตุ้นให้กรดอะมิโน tyrosine เปลี่ยนรูปเป็น ฟีโอเมลานินในปริมาณที่มากขึ้น หรืออาจกล่าว อีกในหนึ่งว่าสารกลูตาไธโอนจะเปลี่ยนเม็ดสียูเมลานิน ให้กลายเป็นฟีโนเมลานิน ซึ่งส่งผลให้ผู้ที่ได้รับสาร ดังกล่าวมีสีผิวที่ขาวขึ้น2เอกสารอ้างอิงคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. กลูตาไธโอน (Glutathione) ทำให้ขาวจริงหรือ?. เอกสารจากเว็บไซด์www.pharmacy.mahidol.ac.th [https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/]วารสาร สารตำรายา ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน 2555.ภญ.รศ.ดร.ชุติมา ลิ้มมัทวาภิรัติ์ และ ภญ.รศ.ดร.สนทยา ลิ้มมัทวาภิรัติ์. ประโยชน์ทางการแพทย์ของกลูตาไทโอนและสารที่กระตุ้นการสร้างกลูตาไทโอน. วารสาร ไกรสัชยนิพรธ์ปีที่ 6 เดือนมกราคม – ธันวาคม 2554.

ถั่งเช่า เคล็ดลับบำรุงสุขภาพของจักรพรรดิ

ถั่งเช่า เคล็ดลับบำรุงสุขภาพของจักรพรรดิ

กุมภาพันธ์ 02, 2568

ถั่งเช่า เป็นที่รู้จักกันดีกับ “ถั่งเช่า” (Cordyceps) หรือ “หญ้าหนอน” สมุนไพรจีนที่มีคุณภาพชั้นเยี่ยม กับคุณสมบัติชั้นยอดหลายด้านในเรื่องของการดูแลสุขภาพ ถือได้ว่าเป็นสมุนไพรจีนที่มีสรรพคุณทางยาที่แพทย์จีนโบราณค้นพบและใช้ในการรักษา รวมทั้งถวายเป็นเครื่องเสวยขององค์จักรพรรดิ และราชวงศ์ จนได้รับการยอมรับมานานนับศตวรรษในปัจจุบันคนไทยเรียก “ถั่งเช่า” ว่า “หญ้าหนอน” มีคุณสมบัติ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ที่เป็นเสมือนทหารมือเอกประจำร่างกาย หรือเรียกว่า หน่วยเพชฌฆาต (Natural Killer Cell) ที่มีความสามารถในการยับยั้งเชื้อไวรัส และเซลล์มะเร็ง บำรุงการทำงานของไต ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มออกซิเจนในการไหลเวียนเลือด ช่วยต้านอนุมูลอิสระ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างสรรถภาพทางเพศจนได้สมญานามว่าเป็น “ไวอาก้าแห่งเทือกเขาหิมาลัย”จากการศึกษางานวิจัยหลายชิ้นเกี่ยวกับ “ถั่งเช่า” ถึงผลทางชีวภาพ และฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พบว่า ในถั่งเช่าอุดมไปด้วยสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย อีกทั้งยังมีรายงานด้านการวิจัยในคนเกี่ยวกับการศึกษาฤทธิ์ของ ถั่งเช่าในการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ โดยพบว่า ในกรณีการศึกษาฤทธิ์ของถั่งเช่าต่อการกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศ ผลการศึกษาพบว่า ในผู้ชาย 22 คน ที่ใช้ถั่งเช่าเป็นอาหารเสริม พบว่า ช่วยเพิ่มจำนวนของสเปิร์มในอสุจิได้ 33% และยังมีผลลดลงของสเปิร์มที่มีความผิดปกติลง 29% นอกจากนี้ ยังมีอีกกรณีการศึกษาในผู้ชายและผู้หญิง 189 คน ที่มีความต้องการทางเพศลดลง โดยพบว่า ถั่งเช่าสามารถช่วยทำให้อาการและความต้องการทางเพศสูงขึ้น 66% และยังมีงานวิจัยสนับสนุนอีกมากมายว่าการรับประทานถั่งเช่า จะช่วยปกป้อง และช่วยให้การทำงานของต่อมหมวกไต ฮอร์โมนจากต่อมไทมัส และจำนวนของสเปิร์มที่สามารถปฏิสนธิได้เพิ่มขึ้น 30% และช่วยเพิ่มความต้องการทางเพศของผู้หญิงได้ 86%อย่างไรก็ตาม ถั่งเช่า ไม่ได้มีสรรพคุณเพียงการฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ แต่ยังมีงานศึกษาวิจัยอีกหลายฉบับที่ได้ศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ที่พบว่าถั่งเช่ามีฤทธิ์ปรับสมดุลของร่างกาย กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านมะเร็ง ลดระดับน้ำตาลในเลือด ต้านการอักเสบ เป็นต้นการรับประทานถั่งเช่าถือว่า เป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพ ที่เราสามารถมั่นใจในเรื่องของความปลอดภัยเนื่องจากเป็นวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของภาวะภายในร่างกายที่เราไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยตาเปล่า ดังนั้นเพื่อการรับประทานถั่งเช่าให้มีประโยชน์ และมีความปลอดภัยสูงสุด ควรทำการศึกษาข้อมูลของผลิตภัณฑ์จากแหล่งที่มีมาตรฐาน หาข้อมูลถึงวิธีการรับประทานที่เหมาะสม หรือของรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ หรือแพทย์เพื่อเป็นการป้องกันผลเสีย และอาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้แหล่งอ้างอิงโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), www.vcharkarn.com, www.tpma.or.th, นพ.สมยศ กิตติมั่นคง หัวหน้ากลุ่มโรคเอดส์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน, www.pharmacy.mahidol.ac.th, รองศาสตราจารย์ ดร.นพมาศ สุนทรเจริญนนท์ และ ธิดารัตน์ จันทร์ดอน สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เว็บไซต์กระทิงแคปโกลด์ https://krathingcap.com

How to ดูแลสุขภาพในวิกฤต PM 2.5 ด้วยอาหารเสริม

How to ดูแลสุขภาพในวิกฤต PM 2.5 ด้วยอาหารเสริม

กุมภาพันธ์ 02, 2568

 PM 2.5 ในช่วงเวลานี้ไม่มีอะไรเป็นภัยร้ายแรงต่อสุขภาพได้เท่ากับมลพิษ PM 2.5 เจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋วแต่ผลกระทบไม่เล็กตามขนาดของมัน เจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋วนี้มีขนาดตัวเพียงแค่ 2.5 ไมครอน หรือเพียง 1 ใน 25 ของเส้นผม ทำให้แม้กระทั่งขนจมูกของเราเองก็ไม่สามารถกรองเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋วนี้ได้ และเมื่อเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋วแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายก็จะกลายเป็นแหล่งสะสมของสารอนุมูลอิสระ เมื่อเข้าสู่ร่างกายก็จะแพร่กระจายสู่ระบบทางเดินหายใจ จากหลอดลมเข้าสู่หลอดเลือด จากนั้นก็จะถูกลำเลียงไปยังอวัยวะต่าง ๆ ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะอักเสบภายในร่างกาย และเป็นบ่อเกิดสำคัญของสารพัดโรคร้าย นอกจากนี้ทางกรมอนามัยโลก ได้ระบุไว้ว่า PM 2.5 เป็นสารกลุ่มที่ 1 ที่เป็นสารก่อมะเร็ง เป็น 1 ใน 8 ของสาเหตุที่ทำให้ประชากรเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และยังทำให้เสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง อย่าง โรคหลอดเลือดสมอง, โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, โรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง, โรคหัวใจขาดเลือด และโรคมะเร็งปอด เป็นต้น นอกจากนี้ทางแพทย์และผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยยังได้ระบุว่า เจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋วที่มีขนาดเล็กนี้ ยังมีน้ำหนักที่เบาจนสามารถลอยตัวในอากาศได้ และยังสามารถเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังของเราได้โดยตรง และยังมีงานวิจัยถึงผลกระทบของเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว PM 2.5 นี้พบว่า เจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋วสามารถส่งผลต่อผิวหนังโดยสามารถแบ่งระดับอาการออกได้ 2 ระยะคือ ระยะเฉียบพลัน เจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋วจะทำลายเซลล์ผิวหนังชั้นกำพร้า ทำให้เกิดการอักเสบ และระคายเคืองกับผิวหนังได้โดยตรงระยะเรื้อรัง เจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋วเป็นอนุมูลอิสระที่ส่งผลร้ายต่อเซลล์ผิวหนัง ตั้งแต่กระบวนการสร้างเซลล์ ทำให้เซลล์ผิวเกิดภาวะความชรา จุดด่างดำ และลดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิวหนังอีกด้วย ด้วยเหตุนี้การป้องกันภัยจากเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว PM 2.5 จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในตอนนี้ โดยมีเคล็ดลับการดูแลสุขภาพง่าย ๆ คือ พยายามอยู่ภายในอาคาร พร้อมเสริมด้วยเครื่องกรองอากาศมาเป็นตัวช่วยในการดักเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว และหากมีเหตุจำเป็นที่จะต้องออกนอกบ้าน ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ควรทาโลชั่นหรือครีม ใส่หน้ากากกรองฝุ่น สวมแว่นตา แต่งกายให้มิดชิด และงดการออกกำลังกายกลางแจ้ง เพื่อลดการรับเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว PM 2.5 เข้าสู่ร่างกาย นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยอีกว่า มีสารอาหารบางชนิดมีคุณสมบัติที่ช่วยต้านและลดความเป็นพิษของเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว PM 2.5 นี้ได้ ได้แก่โค เอนไซน์ คิว 10 เป็นสารคล้ายวิตามินที่มีความสำคัญในการสร้างพลังงานพื้นฐานให้กับเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antiox idant) ที่มีประสิทธิภาพสูง คอยป้องกันสารอนุมูลอิสระที่จะเข้ามาภายในเซลล์ที่เป็นสาเหตุของโรคภัยต่าง ๆวิตามิน C เป็นวิตามินที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และลดภาวะอาการอักเสบที่อาจเกิดจากเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว ดังนั้นแนะนำให้หาอาหารเสริมที่ให้ทั้งวิตามิน C และสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างสารสกัดจากเมล็ดองุ่น ที่มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่สูง และยังมี OPC ที่สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่าวิตามิน C ถึง 20 เท่าและสูงกว่าวิตามิน E 50 เท่าเบต้า แคโรทีน มีส่วนช่วยให้การทำงานของปอดกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังเป็นสารตั้งต้นของวิตามิน A ที่ช่วยส่งเสริมระบบทางเดินหายใจ และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งสามารถพบได้ในสารสกัดจากมะเขือเทศนั่นเองโอเมก้า 3 จากการศึกษาวิจัยทางคลินิกในกลุ่มผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุที่อาศัยในแหล่งที่มีเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว PM 2.5 พบว่า การได้รับน้ำมันปลา 2 กรัม/วัน ช่วยลดผลเสียต่อสุขภาพของเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว PM 2.5ได้ ดังนั้นนอกจากการรับประทานปลาทะเล หรือปลาน้ำจืดแล้ว ลองหาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีคุณภาพมาเป็นตัวช่วยดูแลสุขภาพในช่วงวิกฤติของเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว PM 2.5 นี้ถึงแม้ว่าตอนนี้การศึกษาวิจัยข้อมูลเกี่ยวกับสารอาหารกับเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว PM 2.5 ยังไม่ได้มีจำนวนที่มากพอ แต่ก็ยังมีอีกหลายงานวิจัยที่กล่าวถึงสารอาหารเหล่านี้ มีส่วนช่วยในการส่งเสริมสุขภาพร่างกาย โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันและเสริมการทำงานของระบบต่าง ๆ ให้กลับมามีประสิทธิภาพ อย่างน้อยก็ทำให้ภายในร่างกายมีความสมดุลแข็งแรงมากเพียงพอ และพร้อมที่จะรับมือต่อภัยเงียบจากเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋วอย่าง PM 2.5 นี้ได้แหล่งอ้างอิงโดยบทความวิชาการ, “ฝุ่น PM 2.5 กับโรคสมอง”, เรืออากาศโท นายแพทย์กีรติกร ว่องไววาณิชย์, อายุรแพทย์สมองและระบบประสาท, ศูนย์สมองและระบบประสาท, โรงพยาบาลกรุงเทพบทความสุขภาพน่ารู้, “ฝุ่น PM 2.5 กับผลกระทบทางผิวหนัง”, แพทย์หญิงจันทร์จิรา สวัสดิพงษ์, ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการประชาสัมพันธ์องค์กร, สถาบันโรคผิวหนัง, กรมการแพทย์ฝุ่นพิษ PM 2.5 เยียวยาด้วยอาหารรักษ์หัวใจ, ผศ.ดร ฉัตรนภา หัตถโกศล, ภาควิชาโภชนวิทยา, คณะสาธารณสุขศาสตร์, มหาวิทยาลัยมหิดล 

ยอดราชาสมุนไพร คืนสมรรถภาพ เพิ่มพลังกาย

ยอดราชาสมุนไพร คืนสมรรถภาพ เพิ่มพลังกาย

กุมภาพันธ์ 01, 2568

ปัญหาสุขภาพในปัจจุบันที่สร้างความกังวล ลดความมั่นใจให้ทั้งคุณผู้ชาย และคุณผู้หญิง คือภาวะที่ร่างกาย หย่อน สมรรถภาพทางเพศ หรือถ้าเกิดขึ้นกับคุณผู้ชายก็จะเรียกว่า นกเขาไม่ขัน (Erectile dysfunction: ภาวะการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายไม่เต็มที่) และถ้าเกิดกับคุณผู้หญิงก็จะส่งผลให้มีอาการกวนใจต่าง ๆ อย่าง อาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ (Dyspareunia)   ถือได้ว่าภาวะที่ ร่างกาย หย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นเหมือนสัญญาณเตือนของความผิดปกติที่อาจจะเริ่มเกิดในระบบหลอดเลือดและหัวใจ เพราะในช่วงที่เกิดอารมณ์ทางเพศ ร่างกายจะต้องอาศัยการไหลเวียนเลือดที่ดีในการสูบฉีดเลือดไปยังอวัยวะเพศให้พร้อมในการใช้งาน ดังนั้นอสมรรถภาพทางเพศ ที่ลดลงจึงไม่ได้บอกปัญหาแค่เพียงเฉพาะจุด แต่เป็นการแสดงออกถึงการเสียสมดุลภายในร่างกายของเราอีกด้วย และเมื่อพูดถึงการคืนสมรรถภาพ เพิ่มพลังกายด้วยวิถีแบบธรรมชาติ ก็คงหนีไม่พ้นราชาสมุนไพรอย่าง “โสม” และ “ถั่งเช่า” สมุนไพรทั้ง 2 ชนิดนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของการปรับสมดุลภายในร่างกาย และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ที่มีการศึกษาวิจัยถึงผลทางชีวภาพ และฤทธิ์ทางเภสัชวิทยายืนยันว่า“โสม” ช่วย ฟื้นฟูสรรถภาพ และสามารถเสริมประสิทธิภาพทางเพศ โดยมีงานวิจัยในผู้ป่วยที่มีภาวะร่างกาย หย่อน สมรรถภาพทางเพศ 45 ราย โดยให้รับประทานโสมปริมาณ 900 มิลลิกรัม 3 ครั้งต่อวันเป็นระยะเวลาสองเดือน พบว่า สามารถเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และ“ถั่งเช่า” ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ โดยมีงานวิจัยในผู้ชาย 22 คน ที่มีประวัติการใช้ถั่งเช่าเป็นอาหารเสริม พบว่า สามารถช่วยเพิ่มจำนวนของสเปิร์มในอสุจิได้ 33% และมีผลลดลงของสเปิร์มที่มีความผิดปกติลงได้ถึง 29 % อีกทั้งยังสามารถช่วยทำให้อาการและความต้องการทางเพศสูงขึ้น 66% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติดังนั้นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่มีส่วนผสมของ “โสม” และ “ถั่งเช่า” เมื่อรับประทานเข้าสู่ร่างกายตัวยาที่มีอยู่ในโสมจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดง ปรับอัตราการเต้นของหัวใจให้กลับเข้าสู่สภาพปกติ ทำให้การสูบฉีดเลือดในร่างกายมีความเสถียรมากขึ้น สารสำคัญที่เข้าไปฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศทั้งในโสมและถั่งเช่าจะออกฤทธิ์ส่งเสริมกัน จึงยิ่งทำให้ประสิทธิในการฟื้นฟูและเพิ่มสมรรถภาพมีเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมสารสำคัญจากโสมและถั่งเช่าได้มากที่สุด แนะนำให้ลองเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินอีเป็นหนึ่งในส่วนผสม เนื่องจากวิตามินอีเป็นวิตามินสำคัญที่จะช่วยป้องกันการแตกของเม็ดเลือดแดง ช่วยดูดซับอนุมูลอิสระที่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เซลล์หรือเนื้อเยื่อถูกทำลาย อีกทั้งวิตามินอียังช่วยป้องกันสารสำคัญที่ได้จากโสมและถั่งเช่า ไม่ให้ถูกทำลายด้วยกรดหรือสารเคมีในกระเพาะอาหาร ทำให้การรับประทานสมุนไพรทั้ง 2 ชนิดนี้เกิดผลดีกับร่างกายมากที่สุด อย่างไรก็ตามภาวะที่ร่างกายหย่อนสมรรถภาพทางเพศไม่ใช่ภาวะที่เกิดขึ้นกับวัยสูงอายุเท่านั้น ในปัจจุบันเราสามารถพบผู้ป่วยผู้ชายอายุ 20-30 ปี มีโอกาสที่จะประสบกับภาวะที่ร่างกายหย่อนสมรรถภาพทางเพศถึง 8% และมีการคาดการณ์จากกรมอนามัยของสหรัฐอเมริกาว่าผู้ป่วยภาวะร่างกายหย่อนสมรรถภาพทางเพศจะเพิ่มมากขึ้นถึง 170 ล้านคนในปี 2568 และถึงแม้ว่ายุดนี้ภาวะหย่อนสมรรถภาพเป็นเรื่องที่ถูกเปิดกว้างใคร ๆ ก็เป็นกัน แต่จริง ๆ แล้วการมองเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ หรือการหาตัวช่วยแบบผิดวิธี เป็นการดูแลรักษาสุขภาพที่หลงทิศหลงทางและน่าเป็นห่วง เพราะการปล่อยไว้เรื้อรังก็อาจ “ก่อให้เกิดโรคอื่น” ได้แหล่งอ้างอิงโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), www.vcharkarn.com, www.tpma.or.th, นพ.สมยศ กิตติมั่นคง หัวหน้ากลุ่มโรคเอดส์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขบทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน, www.pharmacy.mahidol.ac.th, รองศาสตราจารย์ ดร.นพมาศ สุนทรเจริญนนท์ และ ธิดารัตน์ จันทร์ดอน สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลคลังข้อมูลยา, www.pharmacy.mahidol.ac.th, นศภ. ทศพล จันทร์ดี,  คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ, www.vejthani.com, ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ, โรงพยาบาลเวชธานีบทความสุขภาพ, www.bangkokhealth.com, นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ, ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพผลทางเภสัชวิทยาของสารจินเซ็นโนไซด์ในโสมอเมริกาต่อสุขภาพ, วารสารพยาบาลทหารบก, คุณ สุรพจน์ วงศ์ใหญ่, ปีที่ 13 ฉบับที่ 3 (ก.ย. - ธ.ค.) 2555เว็บไซต์กระทิงแคป https://krathingcap.com